วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อยากสวย.. ต้องเจ็บ ตอนที่1 ศัลยกรรมครั้งแรก

(・∀・)ノ  สวัสดีทุกคน เราวรางคณาเอง
 วันนี้จะมารีวิวจมูกใหม่ แม่ให้มา (30% อีก70%เราออกเอง 5555)


ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการสำหรับคนที่ไม่รู้จักวรางคณานะคะ...
วรางคณา ก็คือวรางคณานั่นแหละ  Σ( ̄。 ̄ノ)ノ (บอกตะไมเนี่ย)
ผู้หญิงหน้าบ้านๆ (บานด้วย) ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่... วันนี้ที่มีเพิ่มเติมคือ...จมูกใหม่

เรามีจุดด้อยใหญ่ๆ ในใจมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วละ นั่นคือ... ไม่มีดั้งกะเค้า
น้องสาว.. ก็มีดั้ง น้องชาย...ก็มีดั้ง  ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ก็มีดั้ง! แต่ไหง๋พี่สุดอย่างเราถึงไม่มีดั้ง!! (☍﹏⁰)
โดนล้อตั้งแต่เล็กว่าลูกเจ๊กไม่มีดั้ง สงสัยพยาบาลหยิบเด็กมาให้แม่ผิดตัวมั่ง
ตอนนอนระวังลูกตาไหลมารวมกันมั่ง ...บางคนก็เรีย อิแหมบ.... ฮึ
เรียกได้ว่าโดน Bullying มาตั้งแต่เด็ก จนมันฝังใจว่าจมูกเราไม่สวย เราอยากมีจมูกสวยๆ กะเค้าบ้าง

(ดั้งไม่มี แว่นต้องวางบนปลายจมูกอ่ะคิดดู)
มุมหันข้าง พยายามให้เห็นสันจมูกที่สุดแล้วก็ได้แค่นี้เอง


(อนึ่ง อยากให้ทุกท่านไม่ว่าจะเด็ก แก่ หรือวัยไหนๆ ช่วยโปรดรับรู้เอาไว้ว่า การล้อเลียนปมด้อมของผู้อื่น เป็นสิ่งที่วิญญูชนไม่พึงกระทำ)

T^T

ก็นั่นแหละ โดนล้อมาตลอด ด้วยความเป็นผู้หญิง เราก็อยากจะสวยบ้าง
แม้จะไม่สวยที่สุดในโลก  แต่ก็ขอให้สวยที่สุดเท่าที่พยายามจะทำได้แล้วกัน

เราหาข้อมูลการทำจมูกมานานหลายปีแล้วค่ะ
อ่านรีวิวของหลายๆ คนที่ทำมาก่อน พยายามหาข้อมูลของคลีนิก / โรงพยาบาลต่างๆ ไว้หลายที่
ก็แหม... จะทำจมูกทั้งที ก็ขอสวยๆ ที่สุดไปเลยแล้วกัน
เรากลัวเจ็บ ไม่อยากมาแก้จมูกทีหลังบ่อยๆ หรอกนะ

หลังจากอ่านรีวิวต่างๆ นานา ก็มีทั้งดี จมูกสวยงาม  ที่ไม่ดี..โชคร้ายจมูกไม่เข้ากับเบ้าหน้าบ้าง
อ่านเยอะจนเริ่มจิตตก กลัวนั่นนี่ไปหมด สุดท้ายก็ยังอยากสวยขึ้นบ้าง ยังไงเราก็จะทำ!!
อิชั้นจะสวยให้ดู!!  เอาให้พวกที่เคยล้อ  ทั้งหลายหุบปากไปเลย  
(แม้จะเข้าใจว่าพวกปากหอยปากปูยังไงก็ไม่หยุดนินทา นอกจากไปเย็บปากมันซะ)

ทีนี้.. มันมาตัดสินใจลำบากตอนที่ต้องเลือกว่าจะไปทำคลีนิกไหนดีนี่แหละ
คือ... เราอยู่ต่างจังหวัดไง จะเข้ากรุงเทพไปทำจมูก ก็คิดนะ

ระหว่างพักฟื้น ตอนจมูกมันบวม หน้าบวมเนี่ย เราดูแลตัวเองยังไง

เข้ากรุงเทพไปทำ?  แน่ละว่าคลีนิกดีๆ มีเยอะ แต่เรางบน้อยหอยน้อย ไปพักที่กรุงเทพยังไงๆ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมมากกว่าค่าหมออีกเยอะ  (อินี่งกมากค่าคุณขราาาา)

ไปทำจังหวัดใกล้ๆ? นั่งรถไปแป๊บเดียวหรอก แต่จะให้แบกหน้าบวมๆ ไปกลับมันก็อาย
แถมรีวิวก็ไม่ค่อยมีให้อ่าน ...ไม่กล้าตัดสินใจ  ลังเลอยู่นานมากกกกกกก
(นานชนิดที่ว่าใช้เงินเก็บค่าทำจมูกไปแล้วหลายรอบก็ยังเลือกคลีนิกไม่ได้อยู่ดี)

จนวันนึง... เราก็ตัดสินใจเลือกแล้ว ว่าจะไปคลีนิกแห่งนึงในกรุงเทพ
เพราะ... เค้ามีโปรโมชั่นลดราคา!!   จากสอง-สามหมื่นกว่า เหลือแปดพันกว่าบาท
แถมรีวิวก็เยอะ  ทำออกมาสวยๆ มีหลายคนมากกกกกกกก  ตาอิชั้นงี้ลุกวาว!!
กำลังจะ Inbox เข้าไปถามคิวอะไรยังไง

ฟีด Facebook ก็เด้งสเตตัสของคลีนิกความงามแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ บ้านขึ้นมา
.
.
ก็คือที่นี่ค่ะ 

.
.
ตอนแรกก็อ้าว... คลีนิกนี้ก็เสริมจมูกด้วยหรอ?  ไอ้เราก็นึกว่าคลีนิกดูแลผิวทั่วๆ ไปแบบ วุxx อะไรพวกนั้นซะอีก
ก็เลยลองหาข้อมูลดูบ้าง เผื่อว่า... จะไปทำที่นี่แหละ เพราะ
1. ใกล้บ้าน.. มีปัญหาอะไรก็เดินไปปากซอย ข้ามถนนไปหาหมอได้เลย
2. มีโปรลดราคาพอดี (อิอิ)  แม้ว่าราคาจะสูงกว่าคลีนิกแรกที่เราเลือกไว้ แต่คำนวณแล้วเราไม่ต้องเสียค่าเดินทาง ค่าที่พักและอาหารเพิ่มเลย ประหยัดกว่าเยอะ
3. รีวิวก็สวยดี... แม้จะน้อยกว่าที่อื่น แต่ก็ทำออกมาสวยอยู่ ให้ผ่าน!
4. ไปเช็คเคสประวัติเสียของคลีนิก ...ไม่มี ก็ผ่าน!

ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ใกล้บ้าน  นี่แหละ ทำให้เราเลือกที่จะเปลี่ยนคลิกนิกในวินาทีสุดท้าย
ส่งข้อความไปถามคร่าวๆ และนัดคิวอะไรเรียบร้อย....

ส่งข้อความไปถามวันที่ 4 มิ.ย.  จองคิวทำวันที่ 7 มิ.ย. เลย  ใจร้อนแค่ไหน คิดดู (=__=;;  )
จริงๆ ตอนแรกก็กะว่าจะไปถามข้อมูล ไปคุยกับหมอก่อนนั่นแหละ
แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นนัดทำวันนั้นไปเลย... ก็แอบมีแพนิคนิดๆ จะเสริมดั้งละนะ
มันจะเจ็บมั้ยวะ... ตอนทำเนี่ย ถ้าเกิดยาชามันหมดฤทธิ์ละ... กรูวววววจะทำยังงายยยยย
สุดท้ายก็ปลงตก กลัวไปก็เท่านั้น ไม่ลองไม่รู้หรอก



เมื่อถึงวันนัด.... 
วันนั้นวรางคณาไม่แต่งหน้า ไม่ทาอะไรทั้งนั้นแหละ เอาหน้าสดๆ กับจมูกแบนๆ ไปหาหมอเลย
ก็ไหนๆ ต้องล้างออกแล้ว จะแต่งไปให้เสียเวลาทำไม หน้าสดๆ คิ้วโล้นๆ นี่แหละไป 55555

สาวๆ คะ...ก่อนจะทำศัลยกรรมอะไรก็ตามเนี่ย ก่อนอื่นอยากให้คนที่คิดจะไปทำ
สำรวจตัวเองก่อนว่า เบ้าหน้าเราเป็นแบบไหน แล้วทรงที่อยากจะทำเนี่ยมันจะเข้ากับเรามั้ย?
ลองถามๆ คุณหมอที่จะไปทำด้วยก่อน อย่าเพิ่งคิดตัดสินไปเองว่า ทำออกมาแล้วหน้าเราจะสวยเหมือนต้นแบบที่เราเอาไปให้คุณหมอดู!!
ถ้าเบ้าหน้าเราเป็นแบบเอเชียจ๋า แต่อยากทำให้มันเหมือนฝรั่งเลยเนี่ย มันเป็นไปบ่ด้ายยยยย
ทำอะไรให้มันเข้ากับหน้าตาของเราจะดีกว่า บางอย่างบางทรงที่คนอื่นแนะนำว่าดี ว่าสวย บางทีมันอาจจะไม่เหมาะกับเราก็ได้  
ยังไงก็คุยกับหมอดีๆ ก่อนนะคะ ว่าทรงไหน แบบไหนเหมาะกับเราที่สุด
แบบไหนที่ทำออกมาแล้ว จะสวยที่สุดในแบบของเรา ดีกว่าไปเลียนแบบใครจนไม่เป็นตัวของเราเอง ^___^


ของเราก็ให้หมอเลือกแบบให้เลยว่าซิลิโคลนแบบไหนเหมาะกับเบ้าหน้าเรา
เพราะรูปที่เตรียมไปให้หมอดู เราก็รู้ว่า...ทำออกมายังไง หน้าเราก็ไม่ได้แบบเค้าหรอก ฮาาาา
คุณหมอดูปุ๊บ ก็เลือกแบบ Mantis (ทรงตั๊กแตน) ให้ทันทีแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
เพราะดั้งอิชั้นมันไม่จริงๆ ค่ะคุณขาาาา เดี๋ยวจะเอารูปให้ดูนะ




จากที่เห็น ดั้งมันก็เหมือนจะมีอยู่นิดนึงละนะ... แต่ก็อย่างที่เห็นแหละว่ามันมีน้อยเหลือเกิน
คุณหมอเองยังพูดเลยว่าหน้าเรามันไม่มีอะไรเลย 555555 คือเรียบๆ จืดๆ ไม่มีอะไรจริงๆ
ซึ่งก็ยอมรับแหละ ว่าเรามันเบ้าหน้าไม่ได้ดีอะไรมาก ตาก็เล็ก จมูกก็แบน ปากก็หนา คิ้วก็รกด้วย  T^T

หลังจากวัดความดัน กินยาแก้ปวดแก้อักเสบไว้ก่อน ก็ไปล้างหน้าและจมูกด้วยน้ำสะอาดและคลีนซิ่ง (ซึ่งกลิ่นมันเหมือนน้ำยาฆ่าเชื้อมากกว่า 555)
ทีนี้ก็ถึงเวลาขึ้นเขียงผ่า...





กลัวที่สุดก็เวลานี้ละ...




เข้าไปในห้องก็ มีแอร์เย็นๆ เปิดเพลงคลอเบาๆ ห้องสะอาด บรรยากาศผ่อนคลาย
พนักงานสาวๆ ที่แต่งตัว เก็บผมให้เรา ก็พาเรามาถ่ายรูปก่อนผ่าตัด
และให้ขึ้นไปนอนบนเตียง.....



ระหว่างรอคุณหมอจัดการกับซิลิโคลน สาวๆ ก็จัดแจงทายาฆ่าเชื้อพร้อมกับเอาผ้ามาคลุมปิดให้
พร้อมคุยกันเองสร้างบรรยกาศให้ครื้นเครง ช่วยผ่อนคลายได้บ้าง  (อิชั้นนอนเงียบไม่ชวนเค้าคุยมั่งเลย)

พอคุณหมอขึ้นมาก็ถึงเวลาที่ทุกคนที่เคยทำจมูกบอกว่าเจ็บที่สุด.... ตอนฉีดยาชานี่แหละ
เข็มแรก... เจ็บนิดๆ  น้อยกว่าตอนฉีดยาชาถอนฟันซะอีก
เข็มที่สอง... แทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว จมูกมันเริ่มชาๆ ไร้ความรู้สึกไปเรื่อยๆ  ก็จำไม่ได้ว่าหมอฉีดให้เรากี่เข็มกันแน่ มาเจ็บเอาเข็มสุดท้ายอีกรอบ แล้วต้องเว้นระยะ 10 นาทีให้ยาชาออกฤทธิ์เต็มที่.... ตอนนั้นอาการแพนิกมันกลับมาอีกแล้วค่ะ

คุ๊ณณณณหมออออออ ถ้าเกิดยาชามันหมดฤทธิ์ไวกว่าคนอื่นละ!?!
ถ้าเกิดยาชามันไม่ออกฤทธิ์ละ ทำยังไง!?!    บ้าเอามากๆ เลยตอนนั้น

พอค่ะ!  พอ..หยุดคิด เพราะนอกจากฉีดยาชาแล้ว มันก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรอีกเลย

เพราะหลังจากยาชาเข็มสุดท้ายนั้น... จมูกอิชั้น ก็ไม่ใช่ของอิชั้นอีกต่อไป
มันไร้แล้วซึ่งความรู้สึก.... ตอนนั้นต่อให้เอาค้อนมาทุบก็คงไม่รู้สึกเจ็บจมูกหรอก



ถึงตอนนี้ไม่มีรูปนะคะ เพราะไม่ได้ขอให้คุณหมอถ่ายเก็บไว้ให้ (เสียดายจริง)


ตอนที่ทำ เรายังรู้สึกถึงแรงกดๆ ดันๆ เคาะๆ ตีๆ บนจมูกเราอยู่
แต่ความรู้สึกเจ็บ ไม่มีเลย.... คือรู้สึกว่ากำลังทำอะไรอยู่บนจมูก แต่มันไม่เจ็บไม่ปวดเลย
มีเสียวๆ แปลบๆ บ้างนิดหน่อยตอนที่คุณหมอเย็บแผล กับ เย็บปีกจมูกให้เรา
คือมันเหมือนจมูกเราเป็นผ้าชิ้นนึง ได้ยินเสียงเย็บ ฟืดดดดด  แล้วมันเข็ดฟันชอบกล

ใช้เวลาในการเสริมจมูกทั้งหมด ไม่น่าจะถึงหนึ่งชั่วโมง  (ดันลืมดูเวลาก่อนซะด้วยสิ)
ราวๆ 30-45 นาทีเอง  แถมหมอก็มือเบา (และยาชาออกฤทธิ์ดี 5555)
นอกจากคนทั้งห้องจะคุยกันงุ้งงิ้งๆ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายระหว่างผ่าตัดแล้ว
คุณหมอยังเอาแต่พูดว่า  "เออ สวยๆ"  อยู่หลายรอบมาก
มากจนสงสัยว่า... หมอชมจมูกเราว่าสวย  หรือชมฝีมือตัวเองว่าทำสวยคะ?
555555555555555555555555555555555

หลังผ่านการเสริมนอแรด เอ้ย! เสริมจมูกให้เราเสร็จ ก็มาแชะๆ เป็นหลักฐานกัน
พลีชีพเอาให้ดูกันเต็มๆ ตาเลยว่า  ก่อนvsหลังทำ มันแตกต่างกันแค่ไหน!!!!



(ตอนทำนี่ง่วงมาก ง่วงจนอยากหลับเลย ชิลมากกกกกกก)


เห็นชัดมั้ยคะ?  ทรงมันออกมาสวยมากกกกกกกกกกก    o(≧▽≦)o

ถูกใจง่ะ! ไม่ว่าจะมองด้านข้าง หรือหน้าตรง  ณ จุดๆ นั้นคือ.... ดูไม่ออกค่ะ! 555
ตอนนั้นมันเบลอๆ ไปแล้วค่ะ  นอนนิ่งๆ ให้คุณหมอทำจมูกไป ฟังเพลงไป แทบจะหลับ
ตอนนั้นมันชิลมากกกกกกกกก  มากขนาดที่ว่าอยากจะนอนไขว้ขากันเลยทีเดียว
ติดที่เกรงใจคุณหมอกะสาวๆ ในห้อง  ม่ายงั้น... คงขยับแข้งขยับขาแก้เมื่อยไปแล้ว

หลังถ่ายรูปเสร็จก็ติดเผือกอ่อนค่ะ เป็นพลาสเตอร์บางๆ แปะกันซิลิโคลนเคลื่อน
จากนั้นก็มาฟังพนักงานสาวแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัด พร้อมกับรับยาด้านล่าง
ก็พวกยาป้องกันการอักเสบ  ยาฆ่าเชื้อ ยาพารา  ถุงน้ำแข็งไว้ประคบเย็น กับน้ำเกลือไว้สำหรับล้างแผลล้างหน้าค่ะ

วิธีดูแลหลังผ่าตัดแบบคร่าวๆ นะคะ
- นอนหัวสูง (ใช้หมอนซ้อนกันสักสองใบ) อย่าเพิ่งตะแคงซ้ายขวาถ้าไม่อยากแก้จมูกใหม่
- ประคบเย็นในช่วง 2-3 วันแรก  
- ถ้ามีอาการหวัด ก็กินยาแก้แพ้ดักไว้ อย่าให้มีน้ำมูก 
- แต่ถ้ามีน้ำมูก ก็หมั่นเช็ดหน่อยค่ะ  เอาคัตตอนบัตชุบน้ำเกลือค่อยๆ เช็ดในรูจมูก ใจเย็นๆ ค่อยๆ เช็ดเบาๆ  ช่วงวันสองวันแรก อาจจะมีเลือดไหลออกจากแผลนิดหน่อย ไม่ต้องตกใจค่ะ เช็ดด้วยคัตตอนบัตนั่นแหละ พยายามอย่าให้มีเกร็ดเลือดติดแผล  ไม่งั้นตอนตัดไหมต้องมาล้างแผลอีก
- หลังผ่าตัด อาการบวม เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ บวมมากบวมน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละคนค่ะ
- งดอาหารแสลง / แอลกอฮอล์ / อาหารพวกไข่-ไก่ 
- อย่าเพิ่งจับจมูกเล่น เดี๋ยวเบี้ยวไม่รู้ด้วย
- งดออกกำลังกายหนักๆ  (แต่จริงๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไร มันจะกระเทือนจมูกจนไม่อยากขยับตัวอยู่แล้ว)
- กินยาตามหมอสั่ง 
- ช่วงแรกล้างหน้าด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำอุ่น
- คิดออก แล้วจะมาบอกเพิ่ม (แหะๆ)



 มาดูสภาพหลังจากเสริมจมูกช่วง 7 วันแรกกันเลยค่ะ

คำเตือน : ภาพที่ท่านจะเห็นต่อไปนี้ อาจมีความน่ากลัว ผสมอยู่กับความน่าสยองอยู่ไม่น้อย
กรุณาทำใจก่อนดู



หลังผ่าตัดเสร็จ คุณหมอให้เอาผ้าก๊อตชุบเบตาดีนปิดจมูกข้างที่กรีดผ่าเอาไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง
ดีนะใส่ข้างเดียว ถ้าใส่สองข้างคงสยองกว่านี้ 55555555
หลังผ่าตัดเสร็จ เราก็ขอมาร์คปิดปากมาใส่ แล้วเดินหิ้วถุงยากลับบ้านเลยค่ะ  (บอกแล้วบ้านอยู่ใกล้)
ตอนนี้ยังชิลๆ ไม่บวมมากเท่าไหร่ ยาชายังคงออกฤทธิ์อยู่ ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร  แต่กินข้าวไม่ได้ ปากชาขยับปากลำบากค่ะ  แนะนำว่าก่อนผ่าตัด ควรทานอะไรรองท้องไว้บ้างนะคะ ไม่งั้นจะหิวแบบเรา

(จริงๆ กลับบ้านมาก็หิว หยิบมาม่าต้มยำมาต้ม ก็ลืมคิดไปว่ามันเผ็ด กินได้คำเดียว หยุดเลยค่ะ แสบปากแสบจมูกเลย)



6 ชั่วโมงหลังผ่าตัด  ยาชาหมดฤทธิ์แล้ว หน้าก็เริ่มบวมขึ้นมาทีละนิดๆ
ประคบเย็นไว้นะคะ  ถ้าปวดแผลขึ้นมาก็กินยาพาราที่หมอให้มา แต่ของเราไม่เจ็บเท่าไหร่
พาราที่ได้มาก็ไม่ได้กินเลยสักวัน



วันที่  2  (เรานับวันผ่าตัดเป็นวันแรกนะคะ)

ตื่นเช้ามานี่ร้องจ๊ากเลยค่ะ   ไม่ได้เจ็บแผลนะ แต่หน้าบวมขึ้นมาก
โดยเฉพาะบริเวณข้างจมูก  (สีเหลืองๆ ที่เรามาร์กไว้)  ตรงนั้นมันบวมขึ้นมาก
ตาก็เริ่มบวมมานิดหน่อย  หัวตานี่ผิดรูปเลยค่ะ  เราก็ประคบเย็นไว้ทั้งวัน
วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนเลยค่ะ หน้าบวมซะขนาดนั้น แถมยังล้างหน้าก็ไม่ได้
แค่เอาสำลีชุบน้ำอุ่น / น้ำเกลือซับเบาๆ  ไม่อยากกระเทือนจมูกมาก หน้าก็เลยมันเมือก
*ล้างแผลด้วยน้ำเกลือด้วยนะคะ อย่าให้เกร็ดเลือดมาค้างตรงแผล เดี๋ยวจะลำบากตอนตัดไหม




พอตกเย็นมา หัวตาเริ่มช้ำเป็นสีม่วงแล้ว  แก้มนี่บวมผิดรูปเลย
แต่เราหาข้อมูลมาพอสมควร ก็เลยไม่ได้กลัวอะไรมาก
นอกจากประคบน้ำแข็งแล้ว ก็เอาครีมบัวหิมะมาทาบางๆ ตรงรอยช้ำ

 
ปลายจมูกนี่บวมเป่งเลยค่ะ หยั่งกะจมูกเรนเดียร์ 55555



เย็นวันที่ 3  ตาช้ำๆ สีม่วงเริ่มจางไป  กลายเป็นรอยคล้ำสีเหลืองๆ แทน
วันนี้ก็ยังประคบน้ำแข็งบ้าง สลับกับทาครีมบัวหิมะ
ยังล้างหน้าไม่ได้เหมือนเดิม  และล้างแผลด้วยคัตตอนบัตจุ่มน้ำเกลือบ่อยๆ
(เราเป็นภูมิแพ้อากาศค่ะ  วันนั้นเริ่มเย็นๆ หรือฝนใกล้จะตกนี่แหละ น้ำมูกเลยมา ต้องเช็ดทั้งวันเลย)



วันที่ 4 เป็นอีกวันที่เริ่มหงุดหงิดแล้ว เพราะหน้าบวมกว่าสามวันแรกซะอีก เลยเริ่มประคบอุ่นแล้ว
แก้มนี่หยั่งกะน้องหมาโดนผึ้งต่อย  นอยด์ก็นอย์ ขำก็ขำ แต่หัวเราะมากก็ไม่ได้ เจ็บจมูกกกก
วันนี้เริ่มแกะเฝือกอ่อนแล้วค่ะ  แต่เหลือตรงกลางที่แกะยาก เลยค่อยๆ เอาน้ำอุ่นลูบไปทีนิด
กว่าจะแกะออกได้ ยากมาก เพราะกาวมันเหนียวติดกะผิวไปเลย  เบามือที่สุดแล้วยังเจ็บเลย



วันที่ 5  หน้ายังบวมตุ่ยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือบวมขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย
ตอนส่องกระจกมองหน้าตัวเอง  เห็นสภาพตัวเองเป็นแบบนี้คะ....
ไม่ต่างกันเลย   Orz


อ้อ!  วันนี้ได้คนที่บ้านซื้อ น้ำมะพร้าวสดมาให้ทาน ก็ทานไปแก้วนึง แล้วก็ได้น้ำมะพร้าวของมาลีใน 7-11 อีกหลายกล่อง  เค้าบอกว่าช่วยลดบวมค่ะ  ส่วนน้ำใบบัวบก เราทานได้นิดเดียว เพราะมันสดมาก เหม็นเขียวมาก  กินได้แต่น้ำมะพร้าวนี่แหละ


วันที่ 6 ยังไม่ค่อยคุ้นกับหน้าตัวเองสักเท่าไหร่
ค่อนข้างพอใจกับทรงจมูกอยู่ แม้ว่ามันจะยังบวมๆ อยู่บ้าง
แต่ก็พยายามใจเย็นๆ  ไม่โวยวาย หงุดหงิดอะไร  ก็หาอะไรทำไปค่ะ
ส่องกระจกมากๆ ก็นอยด์แดก  หาการ์ตูนอ่านไปเรื่อยเปื่อย
แนะนำว่าอย่าหาการ์ตูนตลกมาอ่าน  (เราอ่านชินจัง)  เพราะมันขำจนอดหัวเราะไม่ได้
พอจะหัวเราะ ปากก็ดันขยับไม่ได้ ติดตรงจมูก ยังไม่ได้ตัดไหม 55555
เป็นความทรมานอย่างหนึ่ง  ขำแต่หัวเราะมากไม่ได้ กระเทือนจมูกว้อยยยยย

ช่วงนี้ก็เริ่มออกไปซื้อของแถวบ้านบ้าง  แต่ไม่ได้แวะไปหาหมอที่คลีนิกเลย




วันที่ 7 - 10
วันหลังๆ มานี่เราลืม ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้  มาดูอีกที  จมูกก็บวมน้อยลงไปมากแบบเห็นได้ชัด
แต่รอยช้ำสีเหลืองๆ นี่หายช้าค่ะ วันนี้ก็ยังไม่หายเลย  แล้วก็ยังยิ้มกว้างๆ ไม่ได้เหมือนเดิม
แต่หลังวันที่ 7  เราล้างหน้า-ทาครีมตามปกติได้แล้วค่ะ  แค่ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ
แล้วก็ไม่ถูจมูกแรงๆ  ทนมันไม่ไหวแล้วค่ะ  ช่วง 5 วันแรกคือเมือกมาก สิวบุกมาเป็นเม็ดเล็กๆ เลย
เวลาสระผมก็เงยหน้าสุดๆ หรือไม่ก็ต้องไปร้านทำผมเอานะคะ บอกเค้าให้สระเบาๆ ด้วย



(เดี๋ยวลงรูปเพิ่ม)


วันที่ 12  คุณหมอนัดตัดไหม   (แต่ที่คลินิกนับเป็น11วันค่ะ)
หัวตายังช้ำเป็นสีเหลืองอยู่ค่ะ คอนซีลเลอร์ก็เอาไม่อยู่  T^T

วันนี้ออกไปกินข้าวข้างนอกกับที่บ้าน ก็เลยขอแต่งหน้าสักหน่อย หลังจากทนเป็นอิเพิ้งอยู่หลายวัน
หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็รีบเดินไปที่คลินิก นั่งรอคุณหมอ  (คุณหมอติดคุยกับลูกค้าท่านอื่นอยู่)
เราเลยไปนอนรอในห้อง สาวๆ พนักงานก็เดินมาล้างแผล มาดูจมูกให้อยู่หลายรอบ
ทุกคนก็ชมค่ะว่าทรงนี้สวยเป็นธรรมชาติมาก  ตอนแรกจำเราไม่ได้ด้วยซ้ำ  55555
พอคุณหมอเข้ามาในห้อง ก็แอบโวยกะพี่ๆ พนักงานนิดหน่อย  เพราะจำเราไม่ได้
นึกว่าไปรับเคสนอกคลีนิกมา  ก็ขำกันใหญ่  เรานี่แอบรู้สึก.. มิชชั่นคอมพลีสนิดๆ
ก็คุณหมอถึงขนาดจำคนไข้ตัวเองไม่ได้ รู้สึก proud แบบแปลกๆ ก๊ากกกกก





วันที่ 14  (หลังตัดไหม 2 วัน)  ตรงหัวตาก็ยังเหลืองๆ อยู่ แต่น้อยลงบ้างแล้ว และรู้สึกว่าหน้าที่บวมเพิ่มขึ้น ก็ไม่ยุบเลย T^T  กลายเป็นว่าหน้าบานกว่าเก่าอีก 555555

หลังจากตัดไหมแล้ว เราไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เท่าไหร่
เพราะปกติเป็นคนไม่ค่อยชอบถ่ายรูปตัวเองอยู่แล้ว แล้วก็ยังยิ้มไม่ได้ด้วยค่ะ
พอยิ้มมันก็จะแปลกๆ ไม่เหมือนเดิม เพราะเราเย็บปีกจมูกด้วย เวลายิ้มหรือหัวเราะ มันจะแข็งๆ ไม่ธรรมชาติเท่าไหร่
รูปที่คัดมาลงก็จะเป็นรูปที่ถ่ายตอนรีวิวลงบล็อกนะคะ
อย่างรูปด้านบน ก็เป็นรีวิวขนตาปลอม  เป็นการแต่งหน้าแบบเต็มๆ หลังตัดไหมได้ 2 วันค่ะ


(รีวิวขนตาปลอมเสร็จก็ออกไปกินข้าวนอกบ้านค่ะ)

ซึ่งในความคิดเรานะ ช่วงอาทิตย์ที่สองเข้าสาม  (ประมาณ 10 - 15 วันหลังผ่าตัด)
เป็นช่วงที่จมูกเราทรงสวยที่สุดอ่ะ วันที่ 10-12 ตรงสันจมูกอาจจะดูโด่งไปบ้าง
แต่วันที่ 13-15 จมูกคือทรงสวยที่สุดแล้วสำหรับเรา
แต่เนื่องจากเป็นการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย มันก็จะยังเปลี่ยนแปลงไปอีกเรื่อยๆ

วันที่ 16 เป็นต้นมา จมูกเราเริ่มยุบลงบ้างแล้ว (เสียจายย อยากให้หยุดอยู่วันที่มันโด่งนานๆ)
ตามที่คุณหมอแนะนำและข้อมูลที่เราอ่านมา เค้าบอกว่า กว่าจมูกจะเริ่มรัดแกนก็ประมาณ 1-3 เดือน
กว่าจะอยู่ทรงจริงๆ ก็เป็นปี  แล้วความอ้วนขึ้น-ผอมลง ของเราก็มีผลต่อรูปหน้าด้วย
เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็บอกไม่ได้หรอกว่าจมูกเราตอนที่เข้าที่แล้วจะเป็นแบบไหน
เดี๋ยวถ้ามีการเปลี่ยนแปลงยังไง จะมารายงานอีกทีนะคะ
วันนี้ขอจบการรายงานแต่เพียงเท่านี้


สวัสดีค่าาาาา  บะบายยยยย   >3<  
(ปิดสมุดรายงาม ยกมือไหว้สวัสดีพร้อมย่อตัวสวยๆ 1 ครั้ง)




วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

[Review] : มาร์กหน้า Mediheal Line Friends มาร์กน่ารักๆ ลายหมีบราวน์และโคนี่

อันนยองฮาเซโยยยยย
เห่นโหล่วววว  มีใครอยู่มั้ยยยย
มีของดีมารีวิวอีกแล้วละจย๊าาาาาา  >{}<




ก่อนหน้านี้เราได้มาร์ก Mediheal จาก Revu.net  มาค่ะ เป็นมาร์กหน้าลายการ์ตูนตัวเล็กๆ จากไลน์คาเรกเตอร์  (น่ารักมากกกกกก!!)
เนื่องจากเราเพิ่งทำจมูกมา หมอให้งดใช้พวกสกินแคร์ในช่วงแรกๆ หลังผ่าตัด เลยยังไม่ได้หยิบมาใช้
แต่วันก่อนตัดไหมไปแล้ว ตอนนี้กลับมาดูแลหน้าที่ขาดการบำรุงนานกว่าสิบวันได้แล้ว เย้!  >_<


แค่ซองก็น่ารักกินขาดแล้วอ่ะ  สีสันสดใสถูกใจสาวๆ มากแน่นอน
เนื่องจากขาดการดูแลมาหลายวัน เราเลยขอหยิบสูตรนี้มาใช้ก่อนค่ะ

N,M.F  Aquaring ampoule mask  ซองสีน้ำเงินนี้จะช่วยเรื่องเพิ่มความชุ่มชื้น เติมน้ำให้ผิว
มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการดูดซับน้ำจากธรรมชาติและป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิวได้ยาวนาน
ในรูปแบบที่มีการเคลือบสารเพิ่มความชุ่มชื้นลงบนแผ่นมาร์ค ช่วยให้ผิวที่แห้งกร้านกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ซองด้านหลังก็มีฉลากภาษาไทยแปะกำกับ บอกข้อมูลไว้ครบ ทั้งชื่อผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบสำคัญ วิธีใช้ เลขรับแจ้ง ผู้ผลิตและนำเข้า ครบถ้วน!

แบรนด์เขาเคลมว่าอย่างไร... ซึ่งเราว่ามันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
ตอนที่มาร์คอยู่ หน้านี่ชุ่มฉ่ำด้วยเอสเซนส์ที่เค้าให้มาเยอะแยะ
ก็ใน 1 ซองบรรจุเอสเซนส์ 27กรัม เชียวนะ ได้มาเยอะมาก มาร์คหน้าไม่พอ เอาทาๆ บริเวณคอได้อีก ยังเหลือไปทาแขนขาได้ด้วย 555555



ตัวแผ่นมาร์คเนี่ย ผลิตจากเส้นไยบริสุทธิ์ที่ได้จากใยฝ้าย ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารและความชุ่มชื้นในปริมาณเทียบเท่ากับ 1 แอมพูล  ให้สัมผัสนุ่มเหมือนผ้าไหม (นุ่มจริงๆ)
ช่วยทำให้เอสเซนส์ซึมเข้าสู่ผิวได้ดี พร้อมดูแลรูขุมขนให้ผิวสะอาดเกลี้ยงเกลาอีกด้วย
และ!  ยังมีลายการ์ตูนไลน์ น่ารักๆ แปะอีกด้วย น่าลั๊กอ่อ!



ระหว่างมาร์คหน้า เราก็ทำโน่นทำนี่ไปด้วย เล่นคอมบ้าง ขึ้นไปซักผ้าบ้าง
ใช้เวลา 15-20 นาที (อย่าเกิน 30นาที เดี๋ยวแห้งติดหน้าผลจะกลายเป็นตรงกันข้าม)
พอถึงเวลาก็ดึงออก แล้วนวดหน้าเบาๆ  หน้างี้เด้งดึ้งๆ  จากที่ไม่ได้บำรุงมาสิบกว่าวัน หน้าดูชุ่มชื้นขึ้น
มันหนึบๆ เด้งๆ เวลาเอามือไปสัมผัส



โดยรวมๆ แล้วเราชอบมาร์คตัวนี้มาก  ให้ ♥♥♥♥♥ เลย
แผ่นมาร์คมันแนบไปกับหน้า นุ่มแล้วก็ค่อนข้างยืดหยุ่น ใช้แล้วหน้าชุ่มชื้นขึ้น
แต่ถ้าจะแต่งหน้า อาจะต้องล้างหน้าเบาๆ อีกรอบ เพราะมันค่อนข้างหนึบไปหน่อย

มาร์ครุ่นนี้ มีด้วยกันอยู่ 4 สูตรนะคะ





ตอนนี้มีวางขายตามร้านค้าชั้นนำทั่วไป  ในราคาแผ่นละ  179฿  แต่ช่วงนี้มีโปรโมชั่นเหลือแผ่นละ 99฿ ด้วย  ใครสนใจไปเลือกซื้อได้นะคะ  เพราะมีหลายสูตร ให้เลือกใช้









ขอบคุณ


วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

[Review] : ขนตาปลอม Baby Lashes Mini Box set : Magic box 001

สวัสดีค่าาาา สาวๆ   (*・∀-)♪
วรางคณาคนเดิม เพิ่มเติมคือ  "ขนตาปลอม"  ชุดใหม่  ฮิ___ฮิ

วันนี้เราจะมีรีวิวขนตาปลอม Baby Lashes กันค่ะ
ตัวที่เราได้มาเป็น Baby Lashes Mini Box set  : Magic box 001
ในบ็อกซ์นี้ รวมเอาขนตาปลอมรุ่นฮิต 3 รุ่นไว้ในboxเดียว
มีความหนา-บาง แตกต่างกันไป สามารถใช้งานได้หลายแนวทางการแต่งหน้า



กล่องมาแนวฟรุ้งฟริ้ง ผู้หญิ๊งงง ผู้หญิง ขนาดกระทัดรัด พกพาสะดวก
ขนตาปลอมยี่ห้อนี้ เป็นขนตาปลอมแบบ Handmade นะคะ น้ำหนักเบาสบาย ไม่หนักตา
แต่งได้ลุคแบบ Asian Celebrity look  อ้อ!  เค้าทำด้วย เส้นไหมแท้ 100% นะคะ สัมผัสนุ่มมากค่ะ


ใน box นี้ประกอบด้วยสามรุ่นนี้ค่ะ
Crystal 001  :  ตัวนี้บางเบาที่สุด ใส่แล้วได้ลุคธรรมชาติ ขนตาฟูๆ ค่ะ
Baby 001 :  รุ่นนี้น่าจะเป็นการผสมระหว่าง crystal + princess  เพราะมีความหนาขึ้นมา แต่ก็บางเบา ใส่สบายไม่หนักตาค่ะ
Princess 003 :  ฟูสุด หนาสุด และหนักสุดในกล่อง มีความฟุ้งฟิ้งแบบเจ้าหญิงเต็มๆ






มาดูรุ่นแรก ตัวที่บางที่สุดใน box กันก่อนเลยค่ะ

Crystal no.001


ตัวนี้เป็นแบบโคนใสค่ะ  ไหมเรียงยาวเป็นวอลลุ่มเดียวกัน นุ่มมือด้วย
ความยาวหัวตา 0.5 cm  ตรงกลางตายาว 1 cm,
ด้วยความเป็นแกนใส เวลาแต่งหน้าก็จะได้ดูเนียนธรรมชาติ ฟุ้งฟริ้ง บางเบาสบายๆ
เบาสบายมาก! ไม่หนักตาเลยค่ะ  รุ่นนี้เราว่าเบาที่สุดแล้ว ตอนที่ใส่บางทีก็ลืมๆ ไปว่าติดขนตาปลอมอยู่
แต่เราว่าแอบติดยากนิดนึง ด้วยเพราะเป็นแกนใส มันจะไม่ค่อยอยู่ทรงเท่ารุ่นอื่นในเซ็ตนี้
ใช้เวลาติดนานกว่าสองรุ่นที่ได้มานิดหน่อย แต่ใส่แล้วสวยฟิ้งงงง ขนตาดูฟูๆ แบบไม่มากเกินไป
ใช้แบบ Everyday look ได้สบายเลยละ

เราให้ ♥♥♥♥ เลยค่ะ (หักที่ว่าดัดแกนยากกว่ารุ่นอื่นนี่แหละ)




Baby no.001
(หัวตาเรายังช้ำๆ จากการทำจมูกอยู่นะคะ อาจจะดูแปลกๆ ไปบ้างในบางรูป)



รุ่นต่อมา คือ Baby no.001 ค่ะ  ตัวนี้เราปลื้มที่สุดในเซ็ตนี้แล้ว
เพราะมันมีความฟูฟ่อง งอนยาว แต่ไม่หนักตา เบาสบาย ใส่แล้วไม่เวอร์เกินจนกลบเมคอัพมิด
มีความธรรมชาติอยู่จางๆ ด้วยเราเป็นคนตาเล็กค่ะ ใส่แบบที่ฟูๆ มากเกินไปจะดูหลอกตา
ตัวนี้ทำมาได้พอดีกับตาเราเลย  และใส่ได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเลย
ตัวไหมก็นุ่มมากกกกก ชอบอ่ะ

เราให้เลย ♥♥♥♥♥ เต็มๆ! 
หาข้อติไม่เจอ  >w<  ปลื้มมาก ชอบที่สุดแล้ว





มาตัวสุดท้ายค่ะ... รุ่น Princess No. 003
Princess No.003
(แอบติดเอียงๆ ไม่เท่ากันนิดหน่อย ขออภัยค่ะ)


ขนตารุ่นเจ้าหญิง003นี่ ฟูที่สุด หนาที่สุด และหนักที่สุดในเซ็ตนี้แล้วค่ะ
ก็ดูเส้นขนตาที่ถักไขว้กันอย่างเป็นระเบียบนั่นสิค่ะ แต่พอใส่แล้วก็อัพเลเวลความฟูของขนตาแบบสูงสุดละ ขนตาหนา งอนยาวแบบสุดๆ ฟูกันแบบสุดๆ ไปเลย เหมาะกับแต่งไปออกงานกลางคืนมากค่ะ  หรือสายคอสเพลย์ เราว่าน่าจะชอบรุ่นนี้กัน  มันทำให้ตาดูโตขึ้นด้วย

รุ่นนี้เราให้ ♥♥♥♥ หักที่มันไม่ค่อยเหมาะกับเรา ㅠ__ㅠ
อย่างที่บอกว่าเราตาเล็กค่ะ ใส่อันหนาๆ แล้วจะดูหลอกตา ต้องแต่งตาหนักๆ ถึงจะเอาขนตาอยู่
รุ่นนี้คนที่มีชั้นตาชัดๆ หรือตาโตๆ หน่อย ใส่แล้วปังสุดพลังแน่ค่ะ




สำหรับขนตาปลอม Baby Lashes : Magic Box no. 001 กล่องนี้ ราคาข้างกล่องอยู่ที่ 360฿ ค่ะ



วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิธีสมัครและใช้งานเวป Revu.net สำหรับมือใหม่ อยากหัดเขียนรีวิว

( 」´0`)」 HELLOOO~


สวัสดีค่าาาาา  มีใครอ่านอยู่มั้ย?  ฮิ___ฮิ  ไม่อ่านแล้วจะเสียใจนะ ขอบอก
วันนี้มีเวปน่าสนใจมาแนะนำละ  
เวปที่ว่าคือ Revu.net ค่ะ  เป็นเวปที่เริ่ดมากเลยเธออออออออ

ที่ว่าเริ่ดก็คือ เวปนี้เป็นเวปที่รวบรวม ผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการต่างๆ เยอะแยะมากมาย
ไว้สำหรับผู้ที่สนใจทดลองผลิตภัณฑ์ หรือ บริการ แบบ ฟรีๆ!!
โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าคุณได้รับเลือกให้เป็นผู้รีวิวสินค้านั้นๆ แล้ว คุณต้องมาเขียนรีวิวให้สินค้าด้วย

การเขียนรีวิวสินค้า ก็เขียนแบบตรงไปตรงมา ตามประสบการณ์ที่เราได้รับนั่นแหละค่ะ
ประทับใจสินค้าหรือบริการนั้นมากแค่ไหน ก็เขียนบรรยายออกมาผ่านรีวิวของเรา
(ขอบอกว่าสินค้า/บริการในเวป ส่วนใหญ่มีแต่ของดีๆ น่าสนใจทั้งนั้นเลย)



ก่อนอื่น.. จะพาไปเยี่ยมชมเวป  Revu.net  ก่อนนะคะ
ซึ่งหน้าตาของเวปไซต์จะเป็นแบบนี้


ซึ่งเมนูหลักๆ ที่เห็นก็จะเป็นส่วนเฮดของเวปไซต์ ที่เป็นเมนูต่างๆ
แล้วก็แคปเปญสำหรับสมาชิกของเวปไซต์ ที่สามารถเลือกได้ว่าอยากรีวิวอะไร

ขอบอกว่ามันเหมาะกับคนที่อยากเป็น blogger แต่ยังหาสปอนเซอร์ส่งของมาให้รีวิวไม่ได้  ครั้นจะรีวิวของที่ตัวเองมี ก็ไม่รู้จะรีวิวอะไรไปอีก ดังนั้น! เข้ามาเลือกเถอะ ว่าอยากรีวิวสินค้าตัวไหนในเวป Revu 
เพราะมันมีหลายแคมเปญ หลายสินค้า หลายบริการ ซึ่งแต่ละแคมเปญเนี่ย มีสินค้าและบริการที่น่าสนใจอยู่มากมาย (ของดีๆ ทั้งนั้นด้วยนะเออ)



สำหรับคนที่อยากสมัครเป็นสมาชิก ให้มองไปที่มุมขวาของเวปไซต์
จะเห็นเมนู  SERVICE GUIDE  / SIGN UP  แล้วก็  LOG IN  (ในกรอบแดงๆ นั่นแหละ)

(ถ้าใครหาไม่เจอ จะเอานิ้วทิ่มตาให้ -.,-)




วิธีการสมัครเป็นสมาชิก 
ก่อนอื่นก็เลือกที่เมนู  SIGN UP  ที่อยู่มุมขวาบน
แล้วก็จะเจอหน้าตาแบบนี้

ใส่ E-mail ที่ใช้เป็นประจำ เพราะต้องมีการยืนยันผ่าน E-mail และถ้าเราได้รับเลือกให้ทำแคมเปญไหน ทางเวปก็จะส่งข้อมูลยืนยันให้อีกครั้งทาง E-mail ค่ะ
ตรงช่อง Nickname ก็ใส่ชื่อยูสเซอร์เนมที่เราอยากใช้ลงไป  แล้วก็ตั้งพาสเวิร์ด
ส่วนตรงช่อง Etc จะมีให้เลือกเพศ 
เป็นผู้ชายก็เลือก Male  ผู้หญิงก็ Female 


พอสมัครแล้วเวปจะพาเราไปหน้านี้  ต่อไปเราก็แค่ไปเชคอีเมลล์ เพื่อยืนยันตัวเอง

กดลิงค์ที่แนบมาในอีเมลล์ 
เมื่อกดยืนยันเสร็จแล้วก็ล็อคอินอีกครั้ง แค่นี้ก็จบแล้วสำหรับการสมัครสมาชิก ง่ายๆ ใช้เวลาไม่ถึงสามนาที  เสร็จเร็วกว่าต้มมาม่าซะอีก 5555


การเพิ่มข้อมูลส่วนตัว
หลังจากยืนยัน ID แล้ว  ก็มากรอกข้อมูลส่วนตัวกัน
ในหน้า SETTINGS ก็จะมีหน้าตาแบบในรูป
ตรงส่วน  Profile มันจะมีข้อมูลที่เราสมัครเมื่อกี้ใส่ให้อยู่แล้ว  เราแค่ใส่รูปประจำตัวลงไปเพิ่มเท่านั้น



ในส่วนของ  Information  เราก็กรอกไปตามจริง


จบละสองขั้นตอนง่ายๆ สำหรับการใส่ข้อมูลส่วนตัว
ตอนนี้ก็มาส่วนการใส่ข้อมูลโซเชียลมีเดีย  ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสมัครเป็นสมาชิก




ก่อนอื่น!!  เราต้องมี Facebook เป็นของตัวเอง และที่สำคัญเราต้องมี BLOG เป็นของเราอยู่แล้วด้วย  (อยากเป็น BLOGGER  ก็ต้องมี blog เป็นของตัวเองสิ  ถูกมั้ย?)
ทั้งสองนี้เป็นช่องทางในการเขียนรีวิวของเรา  ดังนั้น ขาดไม่ได้เลย!!

สำหรับคนที่มีblogอยู่แล้ว สามาถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้
ส่วนคนที่ไม่มี แนะนำให้ไปสมัครมาก่อน
สมัครเวป Blogger นี่ก็ได้ แค่มีบัญชี Gmail ก็ได้แล้ว
ส่วนเวปบล็อกอื่นๆ เราไม่แน่ใจว่าเวปไหนใช้ได้บ้าง เอาเป็นว่าลองสมัครของ Blogger ก่อนละกันนะคะ  ^^


เอาละ มาดูวิธีการเพิ่ม/ใส่ข้อมูล Blog และ FB กัน

ก่อนอื่น เปิดหน้า BLOG ส่วนตัวของเรา แล้ว copy link ของเวปเรามาวางในช่อง
แล้วกดปุ่ม  Add Blog 



เมื่อเสร็จแล้วจะได้หน้าตาแบบนี้!   จบในส่วนของการเพิ่ม Blog




ในส่วนการเชื่อมต่อกับ Facebook  ก็กดปุ่ม  Connect Facebook สีฟ้าๆ ด้านล่าง

ซึ่งหลังจากนั้นจะปรากฏหน้าต่างแบบนี้ขึ้นมา


เราก็กดๆ ตกลงไปเรื่อยๆ จนเสร็จ 
มาถึงขั้นตอนต่อไป  จากที่เห็นในรูป เราเลือกใช้แอคเค้าท์ส่วนตัวในการเชื่อมต่อนะคะ


เสร็จแล้วจะเป็นแบบนี้...

เสร็จไปสอง.. ก็เหลือแค่ IG  ซึ่งตรงนี้ ทางเวปไม่ได้กำหนดว่าจะต้องใส่หรือไม่
จะใส่ไม่ใส่ก็เรื่องของเรา เพราะหลักๆ ที่ต้องใช้คือ Blog  และ  FB
แต่เรามาดูวิธีการเชื่อมต่อ IG กับ Revu,net กัน


จบแล้ว การเพิ่ม Blog  FB  IG


แค่เนี้ย!  ง่ายใช่ปะ?  สมัครแป๊บเดียว  กรอกข้อมูลแป๊บเดียว 
เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ!  ง๊ายยยยยยยยย ง่าย
.
.
.
.

เพราะฉะนั้นเราไปส่วนที่ยากกันดีกว่า (ฮาาา)

วิธีเข้าร่วมแคมเปญกับ Revu 
หลังจากสมัครสมาชิกและกรอกข้อมูลส่วนตัวอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เราอยากเริ่มทำแคมเปญแล้วใช่มั้ย?  ก็ง่ายๆ กลับไปที่หน้าโฮมเพจของ Revu.net ค่ะ

แล้วเลือกเอาเลยว่าเราอยากรีวิวสินค้า/บริการ อันไหน 
ซึ่งด้านบนของเวป มุมซ้ายจะมีแบ่งประเภทเป็นหมวดๆ อยู่ค่ะ  ซึ่งก็จะแบ่งอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ
คือ ประเภทของการบริการ และประเภทของสินค้า

ในหน้าแรกของเวป Revu นั้น ก็จะมีแคมเปญต่างๆ ให้เราได้เลือกว่า อยากจะเขียนรีวิวสินค้า/บริการอะไร  เราก็เลือกได้เลยค่ะ  ซึ่งครั้งนี้เราเลือกแคมเปญที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรามาเขียนบล็อค 

แคมเปญนี้ค่ะ  ^^



คืออยากไปเกาหลีแบบฟรีๆ ไม่เสียตังนั่นแหละ ฮาาาาา  (ขอให้ได้ทีเถอะ!)
อยากจะไปตามหาอปป้า ไปอันนยองฮาเซโยเมืองโซลสักครั้ง

เมื่อเลือกแคมเปญที่อยากร่วมกิจกรรมได้แล้ว เราก็ลองมาดูกันค่ะว่าเราต้องทำอะไรบ้าง

ในแต่ละแคมเปญ ก็จะมีกติกาการร่วมสนุกอยู่ ซึ่งเราก็ต้องอ่านดูว่าเรามีคุณสมบัติครบหรือยัง
อย่างที่เห็นในรูป ตรงส่วนสีส้มๆ ใหญ่ๆ เค้าบอกเลยว่า

แคมเปญนี้จะต้องมี Blog หรือ Facebook กรุณาลงทะเบียนมีเดียของคุณซะก่อน(ว้อย)

ซึ่งถ้าใครสมัครสมาชิกแล้วทำตามวิธีด้านบนที่เราเขียนไว้ ตรงส่วนสีส้มๆ ก็จะกลายเป็นแบบนี้...



ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ก็คือเราสามารถเข้าร่วมแคมเปญนี้ได้แล้ว
ต่อมาเราก็มาดูกันก่อนว่าเราต้องทำอะไรบ้างในแคมเปญนี้

อย่างที่เห็นกันข้างบน นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำ เรามาดูหัวข้อหลักๆ ที่เราต้องอ่านให้เข้าใจก่อนกดเข้าร่วมแคมเปญดีกว่า

Offer คือ ของรางวัลที่เราจะได้รับจากการทำรีวิวนั้น
Keyword คือ ถ้อยคำต่างๆ ที่ต้องปรากฏอยู่ในรีวิวที่เราเขียน
Must - Do  คือสิ่งที่เราต้องทำนั่นเอง ถ้าคิดว่าเราสามารถทำทั้งหมดได้ครบตามเงื่อนไขเหล่านี้ได้ครบ ก็กดเข้าร่วมแคมเปญได้เลย
Terms and Conditions   คือข้อกำหนดและเงื่อนไข ซึ่งในแต่ละแคมเปญจะแตกต่างกันไป และบางแคมเปญก็อาจจะไม่มีหัวข้อนี้
Additional Information คือข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งบางแคมเปญก็อาจจะเป็น Image Information หัวข้อพวกนี้จะบอกถึงสิ่งรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม เช่น รายละเอียดสินค้า / รายละเอียดกิจกรรม

ถ้าเราสนใจจะร่วมแคมเปญ เราก็กดเจ้าปุ่มสีส้มๆ นี้



ซึ่งมันจะพาเราไปตรงส่วนท้าย ที่เราต้องติ๊กเครื่องหมายถูกด้านหน้าข้อกำหนดที่เราต้องทำ อย่างเช่น
• ต้องส่งรีวิวของเราภายในเวลาที่กำหนดไว้ มิฉะนั้นคุณอาจจะต้องจ่ายค่าสินค้าและค่าขนส่ง 
• อย่าลบรีวิว หรือ ตั้งค่าเป็นส่วนตัว สำหรับรีวิวที่เขียนไปแล้ว มิฉะนั้นคุณอาจจะต้องจ่ายค่าสินค้าและค่าจัดส่ง  (ก็รับสินค้าเค้ามารีวิวแล้ว จะมาลบรีวิวทีหลังม่ายด๊ายย)
• ถ้าผู้สนับสนุนต้องการ เค้าสามารถนำรีวิวของเราไปใช้ในการโฆษณาได้  
• ห้ามนำสินค้า/บริการ ที่ได้รับไปขายต่อ! หรือแจกจ่ายให้คนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

อ้อ! เขียนตอบคำถามตรงช่อง Essential Information ด้วยนะจ๊ะ เป็นคำถามทีช่วยในการตัดสินเลือกผู้เข้าร่วมแคมเปญนั้นๆ 

เมื่อเชคถูกครบทุกข้อแล้ว ในหน้าแคมเปญที่เราเลือกก็จะเป็นแบบนี้
ก็คือใบสมัครเราถูกส่งไปคัดเลือกแล้ว ทีนี้เราก็แค่รอดูว่า.. เราจะได้ร่วมแคมเปญนั้นๆ หรือไม่



ซึ่งแต่ละแคมเปญก็จะมีระยะเวลาของการรับสมัครอยู่
เราสามารถดูได้ที่ Timeline ของแต่ละแคมเปญ

เดี๋ยวยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ นะคะ
จากที่เห็นในรูป เส้นยาวๆ  นั้นคือ Timeline ของแคมเปญนี้
มีอยู่ 3 ช่วงหลักๆ คือ
• ช่วงระยะเวลาการรับสมัครเข้าร่วมแคมเปญ  หลังจากหมดเวลารับสมัครแล้ว ทางเวปRevu จะใช้เวลาคัดเลือกผู้เข้าร่วมแคมเปญประมาณ 2-3 วัน ก่อนประกาศผล ซึ่งจะแจ้งทั้งในเวปและ E-mail

• ช่วงระยะเวลาการเขียนรีวิว   Reviewer  ที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมแคมเปญ จะต้องส่งงานเขียนรีวิวภายในกำหนดที่แจ้งไว้  (ตามรูปคือตั้งแต่วันที่ 5-20) หากคุณส่งรีวิวไม่ทัน หรือรับสินค้าไปแล้วไม่ทำรีวิวให้เนี่ย คุณอาจจะต้องเสียค่าบริการสินค้านั้นๆ ตามข้อตกลงการสมัครเข้าร่วมแคมเปญนั้นๆ

• ช่วงระยะเวลาการตัดสินเลือกผู้ชนะแคมเปญ  แต่ละแคมเปญก็จะใช้เวลาตัดสินแตกต่างกันไป  ถ้าใครเขียนรีวิวดี รีวิวโดนใจคณะกรรมการ คุณก็จะได้เป็น BEST REVIEWER! แบบในรูปนี้ 

เมื่อเราได้รับเลือกเป็นผู้ริวิวสินค้า

เราจะดูแคมเปญทั้งหมดที่เราได้สมัคร จากเมนูส่วนตัวของเรา  คลิกเลือกที่ Campaigns

ซึ่งก็จะพาเรามาดูแคมเปญทั้งหมดที่เราได้ส่งใบสมัครไป

สัญลักษณ์ต่างๆ บอกสถานะของแคมเปญนั้นๆ อย่างเช่น

แคมเปญไหนที่เราได้รับเลือกให้เขียนรีวิว เราก็จะได้รับสินค้านั้นมาส่งถึงบ้าน
หรือถ้าเป็นการเขียนรีวิวการบริการ เช่น ร้านค้า โรงแรม สวนสนุก  คอร์สบำรุงผิว เราก็สามารถไปยังสถานที่นั้นๆ แล้วแจ้งไปว่าเรามาจาก Revu 

เมื่อได้รับบริการ / ใช้งานสินค้าแล้ว ก็เขียนรีวิวค่ะ
เขียนตามสไตล์เราเลย มีฝีมือแค่ไหนงัดมาใช้ให้หมด อย่ากั๊ก

ตัวอย่างที่ yujeen เคยเขียนรีวิวไว้ ก็มี :


[Review] : NAMU LIFE SNAILWHITE SUNSCREEN



ตามไปอ่านกันได้นะคะ  ^^



วิธีการส่งรีวิว

ก็... หลังจากเขียนรีวิวเสร็จแล้ว เราก็มาส่งงานกันค่ะ
แต่!!  ก่อนที่เราจะส่งงาน อย่าลืม!!  ใส่ Sponsor code ด้วยนะคะ
วิธีการก็คือ copy code ไปวางในบล็อกเราด้วย
โค้ดอยู่ในหน้าแคมเปญที่เราได้รับเลือกค่ะ  แค่กดตรงช่องสีม่วงๆ (ในภาพ) แล้วนำไปวางใน HTML ของบล็อกเรา  โค้ดนั้นก็จะปรากฏอยู่ในรีวิวเราเองค่ะ  
(สามารถเลื่อนไปดูตัวอย่างได้ที่ด้านล่างของบล็อคนี้ได้เลยค่ะ)

*ขออนุญาตไม่สอนเรื่อง HTML น้าาา คิดว่าทุกคนพอจะมีพื้นฐานตรงนี้อยู่บ้าง แต่ถ้าใครทำไม่ได้ เดี๋ยวเราค่อยสอนให้ทีหลัง

เมื่อเขียนรีวิว และใส่ sponsor code ในรีวิวของเราแล้ว
เราก็ส่งงานกันเลยค่ะ  ขั้นแรกก็ไปที่แคมเปญที่เราจะส่งงาน เลื่อนไปจนถึงส่วนนี้  แล้วทำตามภาพเลยค่ะ


เมื่อส่งงานและแชร์ผ่านทาง Facebook แล้ว ก็เป็นอันเสร็จสิ้นค่ะ
จะได้เป็นแบบนี้



แค่นี้ก็เสร็จแล้วค่ะ  ^^   ง่ายมากๆ
แม้ว่าบล็อกนี้จะยาว ดูเวิ่นเว้อ และเยอะแยะ
แต่จริงๆ แล้ว วิธีสมัคร และเขียนรีวิว มันไม่ได้ยากอะไรเลย
ถ้าใครสนใจ อยากลองเป็น Reviewer มือใหม่  แนะนำเวปนี้เลยค่ะ
สินค้า และบริการที่เค้ามี มีแต่ของดีๆ น่าสนใจทั้งนั้นเลย  ไม่อยากให้พลาดกันน้าาาา

และสำหรับวันนี้ ก็จบแล้วค่ะ (ยาวมากแล้ว 5555)
ไว้เจอกันบล็อกหน้านะคะ  ต้องไปเตรียมตัวเขียนรีวิวสินค้าที่ Revu ส่งมาให้ทดลองใช้แล้วค่ะ  บะบายยยยยยยยย   ^0^/

อันนยองฮาเซโยยยย ขอให้ได้ขอให้โดนทุกคนนะค้าาาาาา
*ขอให้เก๊าได้ไปเกาหลีด้วย เย้  >_<




ขอบคุณผู้สนับสนุน   

(อย่าลืมนะ ทุกรีวิวต้องมี sponsor code ด้วย)