วันนี้จะมารีวิวจมูกใหม่ แม่ให้มา (30% อีก70%เราออกเอง 5555)
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการสำหรับคนที่ไม่รู้จักวรางคณานะคะ...
วรางคณา ก็คือวรางคณานั่นแหละ Σ( ̄。 ̄ノ)ノ (บอกตะไมเนี่ย)
ผู้หญิงหน้าบ้านๆ (บานด้วย) ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่... วันนี้ที่มีเพิ่มเติมคือ...จมูกใหม่
เรามีจุดด้อยใหญ่ๆ ในใจมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วละ นั่นคือ... ไม่มีดั้งกะเค้า
น้องสาว.. ก็มีดั้ง น้องชาย...ก็มีดั้ง ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ก็มีดั้ง! แต่ไหง๋พี่สุดอย่างเราถึงไม่มีดั้ง!! (☍﹏⁰)
โดนล้อตั้งแต่เล็กว่าลูกเจ๊กไม่มีดั้ง สงสัยพยาบาลหยิบเด็กมาให้แม่ผิดตัวมั่ง
ตอนนอนระวังลูกตาไหลมารวมกันมั่ง ...บางคนก็เรีย อิแหมบ.... ฮึ
เรียกได้ว่าโดน Bullying มาตั้งแต่เด็ก จนมันฝังใจว่าจมูกเราไม่สวย เราอยากมีจมูกสวยๆ กะเค้าบ้าง
(ดั้งไม่มี แว่นต้องวางบนปลายจมูกอ่ะคิดดู)
มุมหันข้าง พยายามให้เห็นสันจมูกที่สุดแล้วก็ได้แค่นี้เอง
(อนึ่ง อยากให้ทุกท่านไม่ว่าจะเด็ก แก่ หรือวัยไหนๆ ช่วยโปรดรับรู้เอาไว้ว่า การล้อเลียนปมด้อมของผู้อื่น เป็นสิ่งที่วิญญูชนไม่พึงกระทำ)
T^T
ก็นั่นแหละ โดนล้อมาตลอด ด้วยความเป็นผู้หญิง เราก็อยากจะสวยบ้าง
แม้จะไม่สวยที่สุดในโลก แต่ก็ขอให้สวยที่สุดเท่าที่พยายามจะทำได้แล้วกัน
เราหาข้อมูลการทำจมูกมานานหลายปีแล้วค่ะ
อ่านรีวิวของหลายๆ คนที่ทำมาก่อน พยายามหาข้อมูลของคลีนิก / โรงพยาบาลต่างๆ ไว้หลายที่
ก็แหม... จะทำจมูกทั้งที ก็ขอสวยๆ ที่สุดไปเลยแล้วกัน
เรากลัวเจ็บ ไม่อยากมาแก้จมูกทีหลังบ่อยๆ หรอกนะ
หลังจากอ่านรีวิวต่างๆ นานา ก็มีทั้งดี จมูกสวยงาม ที่ไม่ดี..โชคร้ายจมูกไม่เข้ากับเบ้าหน้าบ้าง
อ่านเยอะจนเริ่มจิตตก กลัวนั่นนี่ไปหมด สุดท้ายก็ยังอยากสวยขึ้นบ้าง ยังไงเราก็จะทำ!!
อิชั้นจะสวยให้ดู!! เอาให้พวกที่เคยล้อ ทั้งหลายหุบปากไปเลย
(แม้จะเข้าใจว่าพวกปากหอยปากปูยังไงก็ไม่หยุดนินทา นอกจากไปเย็บปากมันซะ)
ทีนี้.. มันมาตัดสินใจลำบากตอนที่ต้องเลือกว่าจะไปทำคลีนิกไหนดีนี่แหละ
คือ... เราอยู่ต่างจังหวัดไง จะเข้ากรุงเทพไปทำจมูก ก็คิดนะ
ระหว่างพักฟื้น ตอนจมูกมันบวม หน้าบวมเนี่ย เราดูแลตัวเองยังไง
เข้ากรุงเทพไปทำ? แน่ละว่าคลีนิกดีๆ มีเยอะ แต่เรางบน้อยหอยน้อย ไปพักที่กรุงเทพยังไงๆ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมมากกว่าค่าหมออีกเยอะ (อินี่งกมากค่าคุณขราาาา)
ไปทำจังหวัดใกล้ๆ? นั่งรถไปแป๊บเดียวหรอก แต่จะให้แบกหน้าบวมๆ ไปกลับมันก็อาย
แถมรีวิวก็ไม่ค่อยมีให้อ่าน ...ไม่กล้าตัดสินใจ ลังเลอยู่นานมากกกกกกก
(นานชนิดที่ว่าใช้เงินเก็บค่าทำจมูกไปแล้วหลายรอบก็ยังเลือกคลีนิกไม่ได้อยู่ดี)
จนวันนึง... เราก็ตัดสินใจเลือกแล้ว ว่าจะไปคลีนิกแห่งนึงในกรุงเทพ
เพราะ... เค้ามีโปรโมชั่นลดราคา!! จากสอง-สามหมื่นกว่า เหลือแปดพันกว่าบาท
แถมรีวิวก็เยอะ ทำออกมาสวยๆ มีหลายคนมากกกกกกกก ตาอิชั้นงี้ลุกวาว!!
กำลังจะ Inbox เข้าไปถามคิวอะไรยังไง
ฟีด Facebook ก็เด้งสเตตัสของคลีนิกความงามแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ บ้านขึ้นมา
.
.
ก็คือที่นี่ค่ะ
.
.
ตอนแรกก็อ้าว... คลีนิกนี้ก็เสริมจมูกด้วยหรอ? ไอ้เราก็นึกว่าคลีนิกดูแลผิวทั่วๆ ไปแบบ วุxx อะไรพวกนั้นซะอีก
ก็เลยลองหาข้อมูลดูบ้าง เผื่อว่า... จะไปทำที่นี่แหละ เพราะ
1. ใกล้บ้าน.. มีปัญหาอะไรก็เดินไปปากซอย ข้ามถนนไปหาหมอได้เลย
2. มีโปรลดราคาพอดี (อิอิ) แม้ว่าราคาจะสูงกว่าคลีนิกแรกที่เราเลือกไว้ แต่คำนวณแล้วเราไม่ต้องเสียค่าเดินทาง ค่าที่พักและอาหารเพิ่มเลย ประหยัดกว่าเยอะ
3. รีวิวก็สวยดี... แม้จะน้อยกว่าที่อื่น แต่ก็ทำออกมาสวยอยู่ ให้ผ่าน!
4. ไปเช็คเคสประวัติเสียของคลีนิก ...ไม่มี ก็ผ่าน!
ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ใกล้บ้าน นี่แหละ ทำให้เราเลือกที่จะเปลี่ยนคลิกนิกในวินาทีสุดท้าย
ส่งข้อความไปถามคร่าวๆ และนัดคิวอะไรเรียบร้อย....
ส่งข้อความไปถามวันที่ 4 มิ.ย. จองคิวทำวันที่ 7 มิ.ย. เลย ใจร้อนแค่ไหน คิดดู (=__=;; )
จริงๆ ตอนแรกก็กะว่าจะไปถามข้อมูล ไปคุยกับหมอก่อนนั่นแหละ
แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นนัดทำวันนั้นไปเลย... ก็แอบมีแพนิคนิดๆ จะเสริมดั้งละนะ
มันจะเจ็บมั้ยวะ... ตอนทำเนี่ย ถ้าเกิดยาชามันหมดฤทธิ์ละ... กรูวววววจะทำยังงายยยยย
สุดท้ายก็ปลงตก กลัวไปก็เท่านั้น ไม่ลองไม่รู้หรอก
เมื่อถึงวันนัด....
วันนั้นวรางคณาไม่แต่งหน้า ไม่ทาอะไรทั้งนั้นแหละ เอาหน้าสดๆ กับจมูกแบนๆ ไปหาหมอเลย
ก็ไหนๆ ต้องล้างออกแล้ว จะแต่งไปให้เสียเวลาทำไม หน้าสดๆ คิ้วโล้นๆ นี่แหละไป 55555
สาวๆ คะ...ก่อนจะทำศัลยกรรมอะไรก็ตามเนี่ย ก่อนอื่นอยากให้คนที่คิดจะไปทำ
สำรวจตัวเองก่อนว่า เบ้าหน้าเราเป็นแบบไหน แล้วทรงที่อยากจะทำเนี่ยมันจะเข้ากับเรามั้ย?
ลองถามๆ คุณหมอที่จะไปทำด้วยก่อน อย่าเพิ่งคิดตัดสินไปเองว่า ทำออกมาแล้วหน้าเราจะสวยเหมือนต้นแบบที่เราเอาไปให้คุณหมอดู!!
ถ้าเบ้าหน้าเราเป็นแบบเอเชียจ๋า แต่อยากทำให้มันเหมือนฝรั่งเลยเนี่ย มันเป็นไปบ่ด้ายยยยย
ทำอะไรให้มันเข้ากับหน้าตาของเราจะดีกว่า บางอย่างบางทรงที่คนอื่นแนะนำว่าดี ว่าสวย บางทีมันอาจจะไม่เหมาะกับเราก็ได้
ยังไงก็คุยกับหมอดีๆ ก่อนนะคะ ว่าทรงไหน แบบไหนเหมาะกับเราที่สุด
แบบไหนที่ทำออกมาแล้ว จะสวยที่สุดในแบบของเรา ดีกว่าไปเลียนแบบใครจนไม่เป็นตัวของเราเอง ^___^
ของเราก็ให้หมอเลือกแบบให้เลยว่าซิลิโคลนแบบไหนเหมาะกับเบ้าหน้าเรา
เพราะรูปที่เตรียมไปให้หมอดู เราก็รู้ว่า...ทำออกมายังไง หน้าเราก็ไม่ได้แบบเค้าหรอก ฮาาาา
คุณหมอดูปุ๊บ ก็เลือกแบบ Mantis (ทรงตั๊กแตน) ให้ทันทีแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
เพราะดั้งอิชั้นมันไม่จริงๆ ค่ะคุณขาาาา เดี๋ยวจะเอารูปให้ดูนะ
จากที่เห็น ดั้งมันก็เหมือนจะมีอยู่นิดนึงละนะ... แต่ก็อย่างที่เห็นแหละว่ามันมีน้อยเหลือเกิน
คุณหมอเองยังพูดเลยว่าหน้าเรามันไม่มีอะไรเลย 555555 คือเรียบๆ จืดๆ ไม่มีอะไรจริงๆ
ซึ่งก็ยอมรับแหละ ว่าเรามันเบ้าหน้าไม่ได้ดีอะไรมาก ตาก็เล็ก จมูกก็แบน ปากก็หนา คิ้วก็รกด้วย T^T
หลังจากวัดความดัน กินยาแก้ปวดแก้อักเสบไว้ก่อน ก็ไปล้างหน้าและจมูกด้วยน้ำสะอาดและคลีนซิ่ง (ซึ่งกลิ่นมันเหมือนน้ำยาฆ่าเชื้อมากกว่า 555)
ทีนี้ก็ถึงเวลาขึ้นเขียงผ่า...
กลัวที่สุดก็เวลานี้ละ...
เข้าไปในห้องก็ มีแอร์เย็นๆ เปิดเพลงคลอเบาๆ ห้องสะอาด บรรยากาศผ่อนคลาย
พนักงานสาวๆ ที่แต่งตัว เก็บผมให้เรา ก็พาเรามาถ่ายรูปก่อนผ่าตัด
และให้ขึ้นไปนอนบนเตียง.....
ระหว่างรอคุณหมอจัดการกับซิลิโคลน สาวๆ ก็จัดแจงทายาฆ่าเชื้อพร้อมกับเอาผ้ามาคลุมปิดให้
พร้อมคุยกันเองสร้างบรรยกาศให้ครื้นเครง ช่วยผ่อนคลายได้บ้าง (อิชั้นนอนเงียบไม่ชวนเค้าคุยมั่งเลย)
พอคุณหมอขึ้นมาก็ถึงเวลาที่ทุกคนที่เคยทำจมูกบอกว่าเจ็บที่สุด.... ตอนฉีดยาชานี่แหละ
เข็มแรก... เจ็บนิดๆ น้อยกว่าตอนฉีดยาชาถอนฟันซะอีก
เข็มที่สอง... แทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว จมูกมันเริ่มชาๆ ไร้ความรู้สึกไปเรื่อยๆ ก็จำไม่ได้ว่าหมอฉีดให้เรากี่เข็มกันแน่ มาเจ็บเอาเข็มสุดท้ายอีกรอบ แล้วต้องเว้นระยะ 10 นาทีให้ยาชาออกฤทธิ์เต็มที่.... ตอนนั้นอาการแพนิกมันกลับมาอีกแล้วค่ะ
คุ๊ณณณณหมออออออ ถ้าเกิดยาชามันหมดฤทธิ์ไวกว่าคนอื่นละ!?!
ถ้าเกิดยาชามันไม่ออกฤทธิ์ละ ทำยังไง!?! บ้าเอามากๆ เลยตอนนั้น
พอค่ะ! พอ..หยุดคิด เพราะนอกจากฉีดยาชาแล้ว มันก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรอีกเลย
เพราะหลังจากยาชาเข็มสุดท้ายนั้น... จมูกอิชั้น ก็ไม่ใช่ของอิชั้นอีกต่อไป
มันไร้แล้วซึ่งความรู้สึก.... ตอนนั้นต่อให้เอาค้อนมาทุบก็คงไม่รู้สึกเจ็บจมูกหรอก
ถึงตอนนี้ไม่มีรูปนะคะ เพราะไม่ได้ขอให้คุณหมอถ่ายเก็บไว้ให้ (เสียดายจริง)
ตอนที่ทำ เรายังรู้สึกถึงแรงกดๆ ดันๆ เคาะๆ ตีๆ บนจมูกเราอยู่
แต่ความรู้สึกเจ็บ ไม่มีเลย.... คือรู้สึกว่ากำลังทำอะไรอยู่บนจมูก แต่มันไม่เจ็บไม่ปวดเลย
มีเสียวๆ แปลบๆ บ้างนิดหน่อยตอนที่คุณหมอเย็บแผล กับ เย็บปีกจมูกให้เรา
คือมันเหมือนจมูกเราเป็นผ้าชิ้นนึง ได้ยินเสียงเย็บ ฟืดดดดด แล้วมันเข็ดฟันชอบกล
ใช้เวลาในการเสริมจมูกทั้งหมด ไม่น่าจะถึงหนึ่งชั่วโมง (ดันลืมดูเวลาก่อนซะด้วยสิ)
ราวๆ 30-45 นาทีเอง แถมหมอก็มือเบา (และยาชาออกฤทธิ์ดี 5555)
นอกจากคนทั้งห้องจะคุยกันงุ้งงิ้งๆ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายระหว่างผ่าตัดแล้ว
คุณหมอยังเอาแต่พูดว่า "เออ สวยๆ" อยู่หลายรอบมาก
มากจนสงสัยว่า... หมอชมจมูกเราว่าสวย หรือชมฝีมือตัวเองว่าทำสวยคะ?
555555555555555555555555555555555
หลังผ่านการเสริมนอแรด เอ้ย! เสริมจมูกให้เราเสร็จ ก็มาแชะๆ เป็นหลักฐานกัน
พลีชีพเอาให้ดูกันเต็มๆ ตาเลยว่า ก่อนvsหลังทำ มันแตกต่างกันแค่ไหน!!!!
เห็นชัดมั้ยคะ? ทรงมันออกมาสวยมากกกกกกกกกกก o(≧▽≦)o
ถูกใจง่ะ! ไม่ว่าจะมองด้านข้าง หรือหน้าตรง ณ จุดๆ นั้นคือ.... ดูไม่ออกค่ะ! 555
ตอนนั้นมันเบลอๆ ไปแล้วค่ะ นอนนิ่งๆ ให้คุณหมอทำจมูกไป ฟังเพลงไป แทบจะหลับ
ตอนนั้นมันชิลมากกกกกกกกก มากขนาดที่ว่าอยากจะนอนไขว้ขากันเลยทีเดียว
ติดที่เกรงใจคุณหมอกะสาวๆ ในห้อง ม่ายงั้น... คงขยับแข้งขยับขาแก้เมื่อยไปแล้ว
หลังถ่ายรูปเสร็จก็ติดเผือกอ่อนค่ะ เป็นพลาสเตอร์บางๆ แปะกันซิลิโคลนเคลื่อน
จากนั้นก็มาฟังพนักงานสาวแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัด พร้อมกับรับยาด้านล่าง
ก็พวกยาป้องกันการอักเสบ ยาฆ่าเชื้อ ยาพารา ถุงน้ำแข็งไว้ประคบเย็น กับน้ำเกลือไว้สำหรับล้างแผลล้างหน้าค่ะ
วิธีดูแลหลังผ่าตัดแบบคร่าวๆ นะคะ
- นอนหัวสูง (ใช้หมอนซ้อนกันสักสองใบ) อย่าเพิ่งตะแคงซ้ายขวาถ้าไม่อยากแก้จมูกใหม่
- ประคบเย็นในช่วง 2-3 วันแรก
- ถ้ามีอาการหวัด ก็กินยาแก้แพ้ดักไว้ อย่าให้มีน้ำมูก
- แต่ถ้ามีน้ำมูก ก็หมั่นเช็ดหน่อยค่ะ เอาคัตตอนบัตชุบน้ำเกลือค่อยๆ เช็ดในรูจมูก ใจเย็นๆ ค่อยๆ เช็ดเบาๆ ช่วงวันสองวันแรก อาจจะมีเลือดไหลออกจากแผลนิดหน่อย ไม่ต้องตกใจค่ะ เช็ดด้วยคัตตอนบัตนั่นแหละ พยายามอย่าให้มีเกร็ดเลือดติดแผล ไม่งั้นตอนตัดไหมต้องมาล้างแผลอีก
- หลังผ่าตัด อาการบวม เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ บวมมากบวมน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละคนค่ะ
- งดอาหารแสลง / แอลกอฮอล์ / อาหารพวกไข่-ไก่
- อย่าเพิ่งจับจมูกเล่น เดี๋ยวเบี้ยวไม่รู้ด้วย
- งดออกกำลังกายหนักๆ (แต่จริงๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไร มันจะกระเทือนจมูกจนไม่อยากขยับตัวอยู่แล้ว)
- กินยาตามหมอสั่ง
- ช่วงแรกล้างหน้าด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำอุ่น
- คิดออก แล้วจะมาบอกเพิ่ม (แหะๆ)
คำเตือน : ภาพที่ท่านจะเห็นต่อไปนี้ อาจมีความน่ากลัว ผสมอยู่กับความน่าสยองอยู่ไม่น้อย
กรุณาทำใจก่อนดู
หลังผ่าตัดเสร็จ คุณหมอให้เอาผ้าก๊อตชุบเบตาดีนปิดจมูกข้างที่กรีดผ่าเอาไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง
ดีนะใส่ข้างเดียว ถ้าใส่สองข้างคงสยองกว่านี้ 55555555
หลังผ่าตัดเสร็จ เราก็ขอมาร์คปิดปากมาใส่ แล้วเดินหิ้วถุงยากลับบ้านเลยค่ะ (บอกแล้วบ้านอยู่ใกล้)
ตอนนี้ยังชิลๆ ไม่บวมมากเท่าไหร่ ยาชายังคงออกฤทธิ์อยู่ ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร แต่กินข้าวไม่ได้ ปากชาขยับปากลำบากค่ะ แนะนำว่าก่อนผ่าตัด ควรทานอะไรรองท้องไว้บ้างนะคะ ไม่งั้นจะหิวแบบเรา
(จริงๆ กลับบ้านมาก็หิว หยิบมาม่าต้มยำมาต้ม ก็ลืมคิดไปว่ามันเผ็ด กินได้คำเดียว หยุดเลยค่ะ แสบปากแสบจมูกเลย)
6 ชั่วโมงหลังผ่าตัด ยาชาหมดฤทธิ์แล้ว หน้าก็เริ่มบวมขึ้นมาทีละนิดๆ
ประคบเย็นไว้นะคะ ถ้าปวดแผลขึ้นมาก็กินยาพาราที่หมอให้มา แต่ของเราไม่เจ็บเท่าไหร่
พาราที่ได้มาก็ไม่ได้กินเลยสักวัน
ตื่นเช้ามานี่ร้องจ๊ากเลยค่ะ ไม่ได้เจ็บแผลนะ แต่หน้าบวมขึ้นมาก
โดยเฉพาะบริเวณข้างจมูก (สีเหลืองๆ ที่เรามาร์กไว้) ตรงนั้นมันบวมขึ้นมาก
ตาก็เริ่มบวมมานิดหน่อย หัวตานี่ผิดรูปเลยค่ะ เราก็ประคบเย็นไว้ทั้งวัน
วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนเลยค่ะ หน้าบวมซะขนาดนั้น แถมยังล้างหน้าก็ไม่ได้
แค่เอาสำลีชุบน้ำอุ่น / น้ำเกลือซับเบาๆ ไม่อยากกระเทือนจมูกมาก หน้าก็เลยมันเมือก
*ล้างแผลด้วยน้ำเกลือด้วยนะคะ อย่าให้เกร็ดเลือดมาค้างตรงแผล เดี๋ยวจะลำบากตอนตัดไหม
พอตกเย็นมา หัวตาเริ่มช้ำเป็นสีม่วงแล้ว แก้มนี่บวมผิดรูปเลย
แต่เราหาข้อมูลมาพอสมควร ก็เลยไม่ได้กลัวอะไรมาก
นอกจากประคบน้ำแข็งแล้ว ก็เอาครีมบัวหิมะมาทาบางๆ ตรงรอยช้ำ
ปลายจมูกนี่บวมเป่งเลยค่ะ หยั่งกะจมูกเรนเดียร์ 55555
เย็นวันที่ 3 ตาช้ำๆ สีม่วงเริ่มจางไป กลายเป็นรอยคล้ำสีเหลืองๆ แทน
วันนี้ก็ยังประคบน้ำแข็งบ้าง สลับกับทาครีมบัวหิมะ
ยังล้างหน้าไม่ได้เหมือนเดิม และล้างแผลด้วยคัตตอนบัตจุ่มน้ำเกลือบ่อยๆ
(เราเป็นภูมิแพ้อากาศค่ะ วันนั้นเริ่มเย็นๆ หรือฝนใกล้จะตกนี่แหละ น้ำมูกเลยมา ต้องเช็ดทั้งวันเลย)
วันที่ 4 เป็นอีกวันที่เริ่มหงุดหงิดแล้ว เพราะหน้าบวมกว่าสามวันแรกซะอีก เลยเริ่มประคบอุ่นแล้ว
แก้มนี่หยั่งกะน้องหมาโดนผึ้งต่อย นอยด์ก็นอย์ ขำก็ขำ แต่หัวเราะมากก็ไม่ได้ เจ็บจมูกกกก
วันนี้เริ่มแกะเฝือกอ่อนแล้วค่ะ แต่เหลือตรงกลางที่แกะยาก เลยค่อยๆ เอาน้ำอุ่นลูบไปทีนิด
กว่าจะแกะออกได้ ยากมาก เพราะกาวมันเหนียวติดกะผิวไปเลย เบามือที่สุดแล้วยังเจ็บเลย
วันที่ 5 หน้ายังบวมตุ่ยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือบวมขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย
ตอนส่องกระจกมองหน้าตัวเอง เห็นสภาพตัวเองเป็นแบบนี้คะ....
ไม่ต่างกันเลย Orz
วันที่ 6 ยังไม่ค่อยคุ้นกับหน้าตัวเองสักเท่าไหร่
ค่อนข้างพอใจกับทรงจมูกอยู่ แม้ว่ามันจะยังบวมๆ อยู่บ้าง
แต่ก็พยายามใจเย็นๆ ไม่โวยวาย หงุดหงิดอะไร ก็หาอะไรทำไปค่ะ
ส่องกระจกมากๆ ก็นอยด์แดก หาการ์ตูนอ่านไปเรื่อยเปื่อย
แนะนำว่าอย่าหาการ์ตูนตลกมาอ่าน (เราอ่านชินจัง) เพราะมันขำจนอดหัวเราะไม่ได้
พอจะหัวเราะ ปากก็ดันขยับไม่ได้ ติดตรงจมูก ยังไม่ได้ตัดไหม 55555
เป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ขำแต่หัวเราะมากไม่ได้ กระเทือนจมูกว้อยยยยย
ช่วงนี้ก็เริ่มออกไปซื้อของแถวบ้านบ้าง แต่ไม่ได้แวะไปหาหมอที่คลีนิกเลย
วันที่ 7 - 10
วันหลังๆ มานี่เราลืม ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ มาดูอีกที จมูกก็บวมน้อยลงไปมากแบบเห็นได้ชัด
แต่รอยช้ำสีเหลืองๆ นี่หายช้าค่ะ วันนี้ก็ยังไม่หายเลย แล้วก็ยังยิ้มกว้างๆ ไม่ได้เหมือนเดิม
แต่หลังวันที่ 7 เราล้างหน้า-ทาครีมตามปกติได้แล้วค่ะ แค่ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ
แล้วก็ไม่ถูจมูกแรงๆ ทนมันไม่ไหวแล้วค่ะ ช่วง 5 วันแรกคือเมือกมาก สิวบุกมาเป็นเม็ดเล็กๆ เลย
เวลาสระผมก็เงยหน้าสุดๆ หรือไม่ก็ต้องไปร้านทำผมเอานะคะ บอกเค้าให้สระเบาๆ ด้วย
วันที่ 12 คุณหมอนัดตัดไหม (แต่ที่คลินิกนับเป็น11วันค่ะ)
หัวตายังช้ำเป็นสีเหลืองอยู่ค่ะ คอนซีลเลอร์ก็เอาไม่อยู่ T^T
วันนี้ออกไปกินข้าวข้างนอกกับที่บ้าน ก็เลยขอแต่งหน้าสักหน่อย หลังจากทนเป็นอิเพิ้งอยู่หลายวัน
หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็รีบเดินไปที่คลินิก นั่งรอคุณหมอ (คุณหมอติดคุยกับลูกค้าท่านอื่นอยู่)
เราเลยไปนอนรอในห้อง สาวๆ พนักงานก็เดินมาล้างแผล มาดูจมูกให้อยู่หลายรอบ
ทุกคนก็ชมค่ะว่าทรงนี้สวยเป็นธรรมชาติมาก ตอนแรกจำเราไม่ได้ด้วยซ้ำ 55555
พอคุณหมอเข้ามาในห้อง ก็แอบโวยกะพี่ๆ พนักงานนิดหน่อย เพราะจำเราไม่ได้
นึกว่าไปรับเคสนอกคลีนิกมา ก็ขำกันใหญ่ เรานี่แอบรู้สึก.. มิชชั่นคอมพลีสนิดๆ
ก็คุณหมอถึงขนาดจำคนไข้ตัวเองไม่ได้ รู้สึก proud แบบแปลกๆ ก๊ากกกกก
วันที่ 14 (หลังตัดไหม 2 วัน) ตรงหัวตาก็ยังเหลืองๆ อยู่ แต่น้อยลงบ้างแล้ว และรู้สึกว่าหน้าที่บวมเพิ่มขึ้น ก็ไม่ยุบเลย T^T กลายเป็นว่าหน้าบานกว่าเก่าอีก 555555
หลังจากตัดไหมแล้ว เราไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เท่าไหร่
เพราะปกติเป็นคนไม่ค่อยชอบถ่ายรูปตัวเองอยู่แล้ว แล้วก็ยังยิ้มไม่ได้ด้วยค่ะ
พอยิ้มมันก็จะแปลกๆ ไม่เหมือนเดิม เพราะเราเย็บปีกจมูกด้วย เวลายิ้มหรือหัวเราะ มันจะแข็งๆ ไม่ธรรมชาติเท่าไหร่
รูปที่คัดมาลงก็จะเป็นรูปที่ถ่ายตอนรีวิวลงบล็อกนะคะ
อย่างรูปด้านบน ก็เป็นรีวิวขนตาปลอม เป็นการแต่งหน้าแบบเต็มๆ หลังตัดไหมได้ 2 วันค่ะ
(รีวิวขนตาปลอมเสร็จก็ออกไปกินข้าวนอกบ้านค่ะ)
ซึ่งในความคิดเรานะ ช่วงอาทิตย์ที่สองเข้าสาม (ประมาณ 10 - 15 วันหลังผ่าตัด)
เป็นช่วงที่จมูกเราทรงสวยที่สุดอ่ะ วันที่ 10-12 ตรงสันจมูกอาจจะดูโด่งไปบ้าง
แต่วันที่ 13-15 จมูกคือทรงสวยที่สุดแล้วสำหรับเรา
แต่เนื่องจากเป็นการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย มันก็จะยังเปลี่ยนแปลงไปอีกเรื่อยๆ
วันที่ 16 เป็นต้นมา จมูกเราเริ่มยุบลงบ้างแล้ว (เสียจายย อยากให้หยุดอยู่วันที่มันโด่งนานๆ)
ตามที่คุณหมอแนะนำและข้อมูลที่เราอ่านมา เค้าบอกว่า กว่าจมูกจะเริ่มรัดแกนก็ประมาณ 1-3 เดือน
กว่าจะอยู่ทรงจริงๆ ก็เป็นปี แล้วความอ้วนขึ้น-ผอมลง ของเราก็มีผลต่อรูปหน้าด้วย
เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็บอกไม่ได้หรอกว่าจมูกเราตอนที่เข้าที่แล้วจะเป็นแบบไหน
เดี๋ยวถ้ามีการเปลี่ยนแปลงยังไง จะมารายงานอีกทีนะคะ
วันนี้ขอจบการรายงานแต่เพียงเท่านี้
สวัสดีค่าาาาา บะบายยยยย >3<
(ปิดสมุดรายงาม ยกมือไหว้สวัสดีพร้อมย่อตัวสวยๆ 1 ครั้ง)