มาคราวนี้.. ผ่านไปแค่ห้าเดือน ก็หางานให้ตัวเองกระเสือกกระสนดิ้นรนไปอีกรอบ =__=;
แม้จะเป็นการคุยกันเล่นๆ ในกลุ่มเพื่อนๆ พี่ๆ คนรู้จัก
ตอนที่มีข่าวลือว่าโทโฮชินกิจะขึ้นนิสสันสเตเดี้ยมอีกครั้ง
แต่พอประกาศคอนจริงๆ ก็ปากลั่น มือลั่น ชวนเพื่อนจัดทริปด่วน(อีกแล้ว)
พอมันด่วน เพื่อนร่วมทริปบางคนเลยเดินทางคลาดกันแบบนิดเดียว (ฮาาา)
คือไปดูคอนเหมือนกัน ทริปเดียวกัน คอนเดียวกัน แต่คนละวัน เดินทางคนละเที่ยว 5555
ส่วนเราโชคดี ไปกับพี่อีกคน เดินทางกันสองคน หลงทางกันสองคน อิ__อิ
เพราะครั้งนี้จัดที่นิสสันสเตเดี้ยมถึงสามวัน !!!
คนเบี้ยน้อยอัฐน้อยแบบเรา ขอเลือกดูแค่วันเดียวแล้วกัน
ให้คนเงินเยอะดูสามวัน ส่วนอีกสองวันเราขอเที่ยวแล้วกัน 55555555555+
คอนรอบนี้จัดที่นิสสันสเตเดี้ยม ที่โยโกฮาม่า ที่พักคราวนี้เราเลยเลือก(เอง)
ว่าจะไปพักแถวๆ ย่านอาซากุสะสักคืน ก่อนจะไปต่อที่โยโกฮาม่าอีกสามคืน
เส้นทางเดินทางที่ตอนแรกตั้งไว้คือ
(มาถึง)นาริตะ > อาซากุสะ (พัก1คืน) > โยโกฮาม่า 2 คืน > นาริตะ(กลับ)
แต่พอเอาเข้าจริงๆ ด้วยความเด๋อของตัวเอง ทริปเลยค่อนข้างป่วงๆ นิดนิง
แต่ป่วนก็แค่เราคนเดียวนี่แหละ 5555 เพราะคนอื่นเค้าตั้งใจมาดูคอนเสิร์ต เราดันอยากเที่ยวอยู่คนเดียว
DAY 1 07.06.2018
เอาละ! เริ่มกันที่วันแรก
ไปรอบนี้เราซื้อตั๋วเครื่องบินช่วงที่แอร์เอเชียมีโปรพอดี
รวมค่าน้ำหนักที่ซื้อเพิ่มโน่นนั่นนี่ ค่า คตบ.รอบนี้ของเราคือ ~12,000฿ (รวมค่านน.)
ขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง บินตอนตีห้า!! แล้วเราดันไปถึงสนามบินตั้งแต่ห้าทุ่ม!! ( ب_ب)|
ระหว่างรอคืออิหลุ่ยฉุยแฉะมาก เล่นทอสับจนแบตหมดไปรอบนึง แถมไม่ง่วงเลยสักนิด
พอขึ้นเครื่องไปเลยหลับยากนิดนึง และที่นั่งมันก็คับแคบตามประสาชั้นประหยัด ผ้าห่มอะไรก็ไม่มี..
หมอนรองคอก็ไม่ได้เอามาซะด้วยสิ เลยทำได้แค่งีบหลังเป็นพักๆ
นอนคอหักคอพับเอียงไปเอียงมาแบนั้นอยู่ 6 ชั่วโมง
ในที่สุด.. เราก็เดินทางถึงญี่ปุ่นในช่วงบ่ายๆ ของวันที่ 7 มิถุนา
โดยที่พบว่า..ในไฟล์ทเดียวกันน้านนน มีหลายคนเลยที่มาดูคอนเหมือนกันกับเรา 5555
พอผ่านตม. แบบสบายๆ หายห่วง (ตม.หล่อด้วยอยากบอก)
เราดันแวะเข้าห้องกันน้ำสองรอบ เข้านานด้วย กว่าจะออกมาก็บ่ายสองนิดๆ แล้ว
ลงไปขึ้นรถไฟ ก็ดันเด๋อด๋ากันอยู่สองคน ถามใครก็เหมือนจะเข้าใจไม่ตรงกัน
แม้ว่าจะซื้อตั๋วถูกแล้ว แต่ดันไม่รู้ว่าต้องขึ้นรถคันไหน นั่งผิดคันแล้วหลงทางจะแย่เอา
โชคดีที่ได้พี่จินที่เดินทางด้วยกันโทรถามเพื่อนเค้าว่าเราต้องขึ้นคันไหน ถึงรอดมาได้
แต่ก็แอบไปปล่อยไก่นิดนึง เพราะจริงๆ คันที่เรานั่งคือรถที่วิ่งตรงไปอะซะกุสะอยู่แล้ว
ก็ดันเดินออกมาเปลี่ยนขบวนซะงั้น ดีที่ว่าเรากลับเข้าขบวนเดิมทัน ไม่งั้นละก็....(ಥ﹏ಥ)
(ตั๋วรถไฟสายตรงจากนาริตะไปอะซะกุสะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเองมั้ง)
รอบนี้โชคดีหน่อยที่เลือกเอากระเป๋าเดินทางใบเล็กกับเป้อีกใบไป
เพราะถ้าเอาใบใหญ่ไป... อืม.. นึกสภาพตอนที่ค่อยๆ ยกกระเป๋าขึ้นบันไดแล้ว
ปวดหลังปวดเอวขึ้นมาทันที (ಥ_ʖಥ)
ระหว่างทาง สองข้างทางรถไฟ(บนดิน) วิวทิวทัศน์เค้าก็สวยจริงๆ
มองทุ่งนา บ้านเรือนของเค้าเพลินๆ จนนึกอยากมาเดินเล่นแถวนั้นสักครั้ง (หุหุหุ)
ทีนี้พอถึงสถานีอาซะกุสะแล้ว หลังจากเดินๆ วนๆ อยู่นาน
ได้อาสาสมัครประจำสถานีเค้าแนะนำให้ไปออกทางออก A4 จะใกล้โรงแรมที่เราจองไว้ที่สุด
พอเดินออกมาจากซอย เจอถนนใหญ่ ห่างออกไปไม่ไกล เราก็ไปถึงสะพานแดง
ที่เป็นสะพานข้ามแม่น้ำสุมิดะ มองไปจะเห็นโตเกียวสกายทรีกับตึกบริษัทเบียร์อาซาฮีอยู่ไกลๆ
ลมที่พัดจากแม่น้ำขึ้นมา ทำเอารู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ ความเหนื่อย ร้อน หิว เพราะเดินหลงกันอยู่นาน
ค่อยๆ หายไป เราถ่ายรูปกันนิดเดียว แล้วตกลงกันว่า ไปที่พักก่อน จัดแจงอาบน้ำกินข้าว
แล้วค่อยออกมาเที่ยวเล่นกัน ระหว่างเดินไปที่พัก เราก็เดินผ่านหน้าวัดดัง เป้าหมายของเราเอง
คือวัดเซนโซจิ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าวัดอาซากุสะ / วัดโคมแดง ฮี่ๆๆ
เนื่องจากไม่คุ้นกับการใช้กูเกิ้ลแมปสักเท่าไหร่ เลยเดินวนไปวนมาอยู่นาน กว่าจะไปถึงที่พัก
ก็เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว รีบเชคอินดีกว่า (พนักงานคุยภาษาอังกฤษได้คล่องเลยละ ค่อยโล่งหน่อย)
เราพักกันที่โรงแรมนี้เลย ทางเข้าเล็กๆ อยู่ในย่านชอปปิ้งชนิดที่ว่า เดินออกจากประตูโรงแรม
ก็สามารถเสียเงินได้เลย เพราะมีร้านอาหารติดโรงแรม ด้านหน้าก็มีร้านอาหารเรียงรายยาวๆ สว่างไสว
ห้องพักของเราเป็นโซนปลอดบุหรี่ วิวเมือง ตอนแรกดี้ด๊ามาก นึกว่าจะได้นอนมองโตเกียวสกายทรี
ตอนมองไปนอกหน้าต่างห้องพัก
เรากับพี่ยังคุยกันอยู่เลยว่า หกโมงแล้วนะ ญี่ปุ่นนี่ยังไม่มืดเลย
พอเปิดม่านออกดูเท่านั้นแหละ.... เห็นแต่หลังคา แถมหลังคาติดไฟสว่างโร่เลย (T▽T)
เข้าใจผิด เลยนอนเอื่อย รื้อของออกจากกระเป๋าเพลิน เพราะนึกว่ายังไม่มืด
(ให้ดูแบบนี้ก็ดูกันไม่ออกหรอกว่า ถ่ายรูปไว้ตอนเกือบๆ หนึ่งทุ่ม)
ไหนๆ ก็มืดค่ำแล้ว คิดว่าไปเที่ยวคงไม่ทันแล้วละ แถมไม่รู้ที่เที่ยวและเดินทางไม่ถูกด้วย
เลยอาบน้ำอาบท่า เตรียมไปกินข้าวดีกว่า ก็ออกจากที่พักประมาณทุ่มนิดๆ นี่แหละ
จริงๆ จะกินที่หน้าโรงแรมเลยก็ได้ แต่บะหมี่เย็นตั้ง 3,600円 แน่ะ เลยกะว่าเดินๆ ดูก่อนละกัน
แต่เดินไปเดินมา ดันเตร่อยู่ในวัดเซนโซจิยาวถึงสามทุ่มกันเลย 555555
ถ่ายรูปวัดตอนกลางคืน เปิดไฟสวยเชียว หิวซ่กเลยทีนี้ (º﹃º )
เลยเดินออกจากวัด ไปเดินหาของกินย่านชอปปิ้งแถวๆ นั้น แล้วไปเจอด้องกี้โฮเต้!! (Don Quijote)
เดินวนไปวนมา อยากซื้อของฝากมากๆ เลย แต่กระเป๋าเราใบเล็ก แล้วก็ไม่อยากหิ้วของพะรุงพะรัง
เลยตัดใจ คิดเอาว่าเดี๋ยวไปหาแถวๆ โยโกฮาม่าก็ได้ (ซึ่งคิดผิด!! )
สุดท้ายเลยต้องวางสาเกซากุระแล้วไปหยิบของกินที่ลดราคาแบบถูกมากๆ ไปกินที่โรงแรมแทน
ข้าวปั้นราคาแค่ 50円 ดังโหงะ 98円 ผงโรยข้าว 98-118円 ถูกมากกกก (ที่ไทยขายไม่ต่ำกว่าถุงละ 60-90฿)
หลักๆ ของวันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เดินทาง เดินทาง เดินทาง เดินเที่ยว และกลับไปนอน!!
ไม่ค่อยได้ถ่ายรูป เพราะขนของพะรุงพะรัง เดินๆๆๆ ไม่สะดวกหยิบกล้อง
DAY 2 : 08.06.2018
คอนเสิร์ตวันแรก สตาร์ทโตะ!!
แต่เรายังไม่ได้ดูวันนี้ (。-∀-) กะว่าจะเดินเตร่อยู่แถวๆ อาซะกุสะนี่แหละ
คนเดียวก็จะเหงาๆ โลนลี่ๆ หน่อย แต่ไม่เป็นไร บ่ายแก่ๆ เพื่อนร่วมทริปหรรษาก็จะมาสมทบแล้ว
ตอนเช้าๆ (หลังจากเดินหลงทาง วนอยู่ตั้งนาน) พี่จินก็แยกไปกับหมอป่าน เพื่อไปโยโกฮาม่า
(มีคู่มือการใช้งานเป็นภาษาไทยด้วย ดีงามมั่กๆ)
อายุบัตรได้ 10ปี ซื้อเก็บไว้ก็ไม่เสียหลาย เผื่อเอาไว้ใช้คราวหน้า
เราแยกกันที่ซับเวย์ เพื่อนแนะนำให้ซื้อIC card ไว้สำหรับเดินทาง มันสะดวกกว่าไปซื้อตั๋วกระดาษ
ซึ่งก็จริงแหละ ให้เราไปกดๆ จิ้มๆ ซื้อตั๋วจากสถานีเพื่อไปสถานีนั้น เราเองนี่แหละที่จะหลง
เลยได้บัตรพลาสโม่มา 1 ใบ เติบไป 2000円 หักค่าบัตรไป 500円
วิธีการใช้ก็เหมือนบัตรแรบบิทบ้านเรานั่นแหละ แต่พิเศษกว่า
สามารถเติมเงินได้ที่ตู้แถวๆ สถานี ใช้แตะบัตรเพื่อเข้า-ออกสถานี
ใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้า(บนดิน) รถไฟฟ้าใต้ดิน JR TK อะไรพวกนี้ได้หมด
แถมยังใช้ซื้อน้ำ-ขนมที่ตู้กดอัตโนมัติได้ด้วย เก๋ไก๋เว่ออออ อยากให้ไทยมีแบบนี้ๆๆๆ (จะเอาๆๆ)
หลังจากแยกกับเพื่อนร่วมทริป ได้เวลาไปตะลุยวัดเซนโซจิแล้ว!! ลุย!!!!
รูปเซลฟี่มีไม่เยอะ เพราะไม่ถนัดถ่าย + ไม่มีคนถ่ายให้ด้วย 55555
เลยถ่ายแค่บรรยากาศในวัดโดยรอบ
ซึ่งคิดว่า ถ้าไปญี่ปุ่นรอบหน้า ให้เป็นไกด์นำเที่ยวในวัดอาซากุสะ เรายังทำได้เลย 55555555
แต่เอาเป็นว่า บรรยากาศในการเที่ยววันนี้ อาจจะแยกไปเขียนอีกบล็อกแล้วกัน
เพราะถ่ายรูปมาค่อนข้างเยอะ รอติดตามละกัน ฮี่ๆๆๆๆ
(ติดตามต่อได้ที่ >> เดินเที่ยววัดเซนโซจิ )
(รูปจากมือถือเพื่อนจย๊าา ♥)
เตร่อยู่แถวนั้นถึงบ่ายสามบ่ายสี่ เพื่อรอเพื่อนร่วมทริป
นัดมาเจอกันที่นี่ แล้วค่อยเดินทางไปโยโกฮาม่าด้วยกัน ซึ่ง... บันเทิงอีกละ ฮิ้วววว
เราเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินโตเกียวเมโทร
จาก อาซะกุสะ ไปลงกินซ่า เปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR เพื่อไปโยโกฮาม่า
แค่นั่งจากอาซะกุสะไปกินซ่า เราก็นั่งเพลิน เลยสถานีกินซ่าซะแล้ว (゚Д゚;) (มัวแต่เล่นโทรศัพท์)
ต้องนั่งย้อนกลับมาราวๆ 1-2 สถานี (หรือ 3?) แล้วรีบเดินไปเปลี่ยนขบวน
เอาละ... ทีนี้พอขึ้นมาที่ชานชาลาได้แล้ว เราก็ยืนงงๆ กันนิดหน่อยว่าเราต้องขึ้นขบวนไหน
ดูจาก GGM (ขอเรียก กูเกิ้ลแมป สั้นๆ ว่า GGM /กู๋แมป ละกัน) มันบอกว่าชานชาลาที่ 1
อ่ะ ไปต่อแถวชานชาลาที่ 1 .... เดินเบียดๆ กับมวลมหาชนที่กำลังเลิกงานแบบทุลักทุเลนิดนึง
ด้วยความที่กลัวว่า จะนั่งเลยสถานีอีก เลยบอกตัวเองว่า นอกจากใช้ GGM แล้ว จะยังไม่เข้า SNS
ทีนี้ก็ยืนไปยืนมา คนทยอยออก พอได้นั่ง ก็เริ่มมีสติขึ้นมานิดนึง..
ทำไมมันผ่านโตเกียววะ... เอ้า ผ่านอุเอโนะด้วยหรอ... ตั้งสติ.. เช็คดูอีกที... อ้าววว ขึ้นผิดสาย!!
เวงละสิ นั่งย้อนเข้าโตเกียวเกือบครึ่งชั่วโมง เสียเวลาไปอีก 5555555
พอรู้ตัวว่านั่งย้อนกลับมา เลยรีบออกจากขบวน สู่สถานีโล่งๆ อันเวิ้งว้างงง
คนน้อยมากๆ แล้วก็เริ่มเย็นแล้ว (แน่สิ หกโมงแล้วนะ) อากาศเริ่มครึ้ม ลมพัดเย็นขึ้น
แล้วดันใส่กระโปรงด้วยสิ หวิวๆ ชอบกล ใจจดใจจ่อ รอให้ขบวนรถไฟรีบมาเร็วๆ
ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีอยู่ นั่นคือ ขบวนรถค่อนข้างว่าง คนน้อย เราเลยได้นั่งไปยาวๆ
จากปกติ เดินทางจากโตเกียวไปโยโกฮาม่า ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็น่าจะถึง
แต่นี่บวกเพิ่มไปอีกครึ่งชั่วโมงเลย เพราะนั่งย้อนกลับมาหลายสถานีเลย 55555
ตอนแรกก็คิดว่า มันน่าจะนั่งยาวไปถึงสถานีโยโกฮาม่าเลยนั่นแหละ
แต่ทีนี้ พอไปถึงสถานีนึง (จำชื่อสถานีไม่ได้)แต่อยู่ห่างจากสถานีโยโกฮาม่าประมาณ 3-4 สถานี
เค้าประกาศอะไรไม่รู้กันแหละ เสียงญี่ปุ่น ไม่มีซับไทย ฟังไม่รู้เรื่อง 55555
ได้แต่เดินตามคนอื่นเค้าออกจากขบวนออกมา ยืนเด๋อๆ กันสักพัก
คิดว่าเค้าน่าจะเปลี่ยนขบวนกันแหละ ก็เลยอ๋อๆ เปลี่ยนขบวนก็เปลี่ยนสิ
จากนั้นเราก็นั่งไปจนถึงสถานีโยโกฮาม่าได้อย่างปลอดภัย เย้!!
แล้วปัญหาต่อมาคือ... จากสถานี จะไปที่พักยังไง(วะ)
โชคดีที่มีนพกคู่มือที่เจ้าของห้องพักมาด้วย เลยเดินตามแผนภาพ
แบบมึนๆ งงๆ ว่ามาถูกทางมั้ยวะ ตอนนั้นฝนก็ตกปรอยๆ ลงมาแล้วด้วย
เลยเก็บกล้อง รีบเดินหาที่พักดีกว่า เหนื่อยจากการเดินทางกันทั้งสองคนแล้ว
ดูเหมือนความโชคร้ายของเราจะหมดไปแล้ว เพราะเดินๆ ไป ก็มาถูกทางแหะ
ที่พักอยู่ไม่ไกล เดินไม่เกิน 5 นาทีก็ถึง เราก็รีบเข้าห้องดีกว่า เหนื่อยแล้ว
(มาถึง ห้องอยู่สภาพนี้จริงๆ นะ แต่หลังจากนั้นคือ เละ 55555)
นี่คือห้องพักของพวกเรา!! จากนี้ไปสามคืน ที่นี่คือฐานทัพหลัก เอาไว้พักผ่อน
ถึงห้องพักจะคับแคบ แต่การออกแบบห้อง ก็ทำให้รู้สึกทึ่งอยู่ดี
คนญี่ปุ่นเค้าใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มมากจริงๆ ชอบเฟอนิเจอร์เค้าจริงๆ
และที่สำคัญ.... เค้ามีขนมไว้ต้อนรับด้วย!! ดีงามพระรามแปดสิบแปด กินซะเปรมมมม
ขนมอร่อยด้วยนะ กินเพลิน ยิ่งหิวๆ เพราะไม่ได้กินข้าวกันด้วย
เพื่อนกลุ่มที่แยกไปดูคอนก็ส่งข้อความมา บอกให้เตรียมอาหารเย็นไว้เลย
คอนเลิกพอดี (เรามาถึงที่พักกันทุ่มกว่าๆ มั้ง เกือบๆ สองทุ่ม)
ด้วยไม่รู้ว่าร้านค้าแถวนั้นจะปิดกี่โมง เลยชวนมีนออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ
มีทั้งแฟมิลี่มาร์ท 7-11 ลอว์สัน และซุปเปอร์ที่ขายของสด (ไม่ได้ดูชื่อร้าน อ่านไม่ออก)
แถวนั้นก็มีร้านอาหารนะ เป็นสไตล์ญี่ปุ่น แบบ พนง.ออฟฟิตมานั่งดื่มกันหลังเลิกงานอะไรแบบเนี้ย
ก็คิดว่าไม่น่าเหมาะกับเรา เลยกะว่าทำปาร์ตี้มาม่าละกัน กินอุ่นๆ ร้อนๆ น่าจะสบายท้องด้วย
ก็เลือกๆ หยิบๆ เล็งของลดราคาใส่มาเต็มตะกร้า 55555 รู้สึกใกล้ชิดญี่ปุ่นขึ้นมาอีกนิดนึง
ให้ฟีลแบบเราเป็นคนท้องถิ่นเลยเว้ย รอมาซื้อของลดราคาตอนร้านใกล้จะปิด (ร้านนี้ปิด 23.00น.)
กว่าเพื่อนอีกกลุ่มจะกลับมาถึง ก็ราวๆ สามทุ่มแล้วมั้ง
ได้เวลาทำอาหารกินไปพลาง คุยถึงกิจกรรมพรุ่งนี้ไปพลาง
กว่าจะได้นอน ก็ราวๆ ตีสอง... พรุ่งนี้ตื่นเช้ากันด้วยสิ
ไม่รู้จะตื่นกันไหวมั้ย... ที่แน่ๆ พอหัวถึงหมอน ฉันสลบทันที ( ̄σ・・ ̄)
DAY 3 09.06.2018
วันที่สามของเรา... ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีห้ากว่าๆ
แต่เราดันไม่ตื่น 555555 คนอื่นๆ เขาลุกมาอาบน้ำ(อาบกันรึเปล่าหว่า 5555)
ทุกคนเตรียมตัวไปต่อแถวซื้อ Goods หน้าคอนกัน (ไปช้ากว่านี้ คงไม่ได้ซื้อ)
ราวๆ 7-8 โมงเช้า รึเปล่านะ (ง่วงมาก แทบไม่อยากตื่น เมื่อยไปหมด)
ทุกคนก็ออกไปแล้ว เหลือเรานอนต่อแป๊บนึง แล้วต้องปลุกตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด
ตอนแรกกะว่าจะเที่ยวในโยโกฮาม่า แต่เพราะ(คิดว่า)ลืมของไว้ที่โรงแรม เลยต้องกลับไปเอา
ก็นั่งกลับไปอาซากุสะอีกรอบ.. และเช่นเคย เราหลงทางอีกแล้ว 5555555
มากับเพื่อน ก็พากันหลง เดินทางคนเดียว ยิ่งแล้วใหญ่ หลงทางหนักกว่าเดิมอีก
เติมเงินในบัตรพลาสโม่ไป 5000เยน บวกกับที่เหลือจากเมื่อวานอีกสี่ร้อยกว่าเยน
ขากลับไปถึงที่พัก เหลืออยู่พันกว่าเยน 😂 (5000เยน ประมาณ 1500บาท)
แต่ไม่เป็นไร ยิ่งหลง ยิ่งเยอะประสบการณ์ (หรออออออ)
ช่วงที่ไปถึงโรงแรมที่พัก พนักงานก็บอกว่า ไม่มีแจ้งของหายนะคะ
เราก็ไม่เป็นไรๆ เพราะก่อนเชคเอ้าท์ เราก็ว่าเราเช็คดีแล้ว ไม่ลืมของแน่ๆ
ที่กลับมาถามโรงแรมอีกทีก็เพื่อจะได้เช็คให้แน่ใจว่า ไม่ได้ลืมจริงๆ
แต่พอหาของไม่เจอ ก็จะเฟลๆ หน่อย (_ _|||) เลยไปเดินเที่ยวที่วัดเซนโซจิอีกรอบ
ระหว่างนั่งนึกว่า.. จากนี้เราจะไปไหนต่อดี โดดเดี่ยวอินโตเกียวเบอร์นี้
ง่วงก็ง่วง หิวก็หิว.. หรือว่าจะกลับที่พักไปนอนอีกสักงีบ เย็นๆ ค่อยเที่ยวโยโกฮาม่า
แต่!! ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว อย่าให้เสียเที่ยว ไปตะลุยวัดในโตเกียวกัน!!!
แต่ขอแวะเติมพลังก่อนแล้วกัน
หลังจากนั่งกินข้าวปั้นอยู่แถวๆ นั้น เห็นของหวานแล้วหิว ขอสักถ้วยก่อนละกัน
เป็นไอศรีมรสชาเขียว+นมวนิลา ราดด้วยถั่วแดง
ไอ้รสนมอ่ะ อร่อยมากกกก กินกับข้าวพองกรุบๆ
มีโมจิหนึบๆ กับวุ้นอะไรสักอย่าง คล้ายๆ วุ้นมะพร้าวอยู่ข้างใต้
ชาเขียวถั่วแดงเข้ากันดี อร่อยฟินๆ ไป
ถ้วยนี้สนนราคาประมาณ 5XXเยน (จำราคาไม่ได้)
ร้านนี้บรรยากาศดีนะ ถ้านั่งโต๊ะติดหน้าต่าง จะมองเห็นทั้งประตูวัด และโตเกียวสกายทรีเลย
แต่ถ้าไม่อยากนั่งตรงนั้น ด้านในก็มีมุมที่นั่งแบบญี่ปุ่นด้วย (เราเลือกที่นั่งแบบนี้)
ทุกโต๊ะจะมีชาเขียวกับกาน้ำร้อน ให้ชงเองอีกด้วย นอกจากของหวาน ก็มีอาหารด้วยนะ
เห็นโต๊ะอื่นเค้าสั่งมา ท่าทางน่าทาน แต่อิ่มข้าวปั้น เลยอดกินไปตามระเบียบ
อยากแนะนำให้ลองไปดู ร้านอยู่ฝั่งขวามือของประตูหน้าวัด
ด้านล่างเป็นร้านขายขนมของฝากร้านใหญ่ๆ เดินขึ้นบันไดเล็กๆ ขึ้นมา ร้านอยู่ชั้นสองจ้าา
ปล. ร้านไม่รับการ์ด รับแต่เงินสด หยิบการ์ดมาเก้อเลย 555555555555555
เลยต้องไปกดเงิน ค่าขนม ห้าร้อยกว่าเยน จ่ายแบงค์หมื่นเยน โคตรขำตัวเอง
หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเที่ยวที่ศาลเจ้าเมจิ
เนื่องจากลงไว้ในเวปจีบันแล้ว ไม่ขอลงซ้ำ ตามไปอ่านได้ที่
เดินเที่ยวศาลเจ้าเมจิ
และเมื่อค้นข้อมูลอีกนิดนึง เราพบว่าศาลเจ้าอีกแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างโด่งดัง
ในหมู่แฟนคลับ(ทุกด้อม) คือ ศาลไคจูอินาริ ดังมากในเรื่องเสี่ยงดวง
วิธีเดินทางจากศาลเมจิคือ เราออกจากศาลที่ทางเข้าเดิมซึ่งอยู่ใกล้สถานี
แต่เราจะไม่ได้เดินทางจากสถานีเดิม ให้เดินเลยสถานีไปอีกนิดนึง
จะมีสถานีรถไฟสายที่วิ่งวนเป็นวงกลมคือ JR Yamanote Line
ลงที่สถานี Shin-Okubo ซึ่งห่างจากศาลเมจิแค่สถานีเดียว
และไม่ต้องกลัวหลงค่ะ มีทางออกเดียว เดินไหลตามคนอื่นออกไปได้เลย
เมื่อออกมาแล้ว ให้เดินไปทางซ้ายมือค่ะ จะเจอ 7-11 เล็กๆ และร้านเกม&ปาจิงโกะ
ศาลเจ้าอยู่ใกล้ๆ ร้านปาจิงโกะเลยแหละ
มันจะมีความคอนทราสกันอยู่นิดหน่อย คือร้านปาจิงโกะเนี่ย ค่อนข้างเสียงดัง
แต่ในศาลเจ้า กลับเงียบสงบมากกกกก แต่มีคนทยอยเดินเข้าออกอยู่ตลอดเวลานะคะ
ทางเข้าศาลเป็นแบบนี้ค่ะ เป็นศาลเล็กๆ พื้นที่ไม่กว้าง (แต่ค่อนข้างยาว)
เราเดินไปทางทาง อ่างล้างมือจะอยู่ด้านซ้าย อย่าลืมเข้าไปล้างมือก่อนนะคะ
ซุ้มขายเครื่องราง มีเครื่องรางหลายอย่างที่มีคนซื้อเยอะอยู่ แต่เจ้าหน้าที่พูดeng ไม่คล่อง
อาจจะต้องสื่อสารด้วยภาษามือกันนิดนึง 5555
(อันนี้คือคิวที่รอซื้อเครื่องรางค่ะ คนไม่น้อยนะ)
ศาลนี้เราไม่ได้ถ่ายรูปเยอะ เพราะเกรงใจคนอื่นที่อยู่ในบริเวณศาลด้วย
(ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างจริงจังเรื่องถ่ายรูปนะคะ จะไปถ่ายรูปคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้)
ศาลนี้เราไม่ได้อยู่นาน เพราะเค้าก็กำลังจะปิดขายเครื่องรางแล้วด้วย
ซื้อเสร็จเราก็รีบกลับ เพราะมันใกล้ค่ำแล้ว เราอยากรีบกลับก่อนจะดึกไปกว่านี้
แต่!!... ทั้งที่อยากจะกลับที่พักแล้ว เราดันเลือกที่จะไปเดินเล่นแถวชิบุย่าก่อน 55555
เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว ขึ้นรถไฟต่อไปอีกไม่กี่สถานี ก็ถึงชิบุย่าแล้ว ไปหาแจจุงก่อนดีกว่า
หลังจากเดินหลงทางไปคนละทิศคนละทางกับที่ๆ อยากไปแล้ว
เสียเวลาไปอีกชั่วโมงนึง กว่าจะหา KAVE เจอ 55555
เราก็ได้ไปเจอพี่แจจุงแล้ว!! เจอจริงๆ!!
.
.
.
(ชั้น 2-5 คือของพี่แจหมดเลย อิอิ)
ที่บอกว่าเจอน่ะ คือ เจอสแตนดี้พี่แจอยู่หน้าคาเฟ่นะ 5555555555
แอบไปมองๆ ดูด้านใน เห็นลูกค้านั่งเต็มไปหมด (พนักงานหน้าตาดีด้วยเด้อออ)
เนื่องจากเวลาไม่อำนวย (ตอนนั้นก็เกือบๆ สองทุ่มแล้ว) เราเลยไม่ได้อยู่รอคิวต่อ
พอออกจาก KAVE ก็ไปเดินช็อปอีกนิดหน่อย แล้วก็กลับโยโกฮามะดีกว่า
ต้องเดินทางอีกชั่วโมงกว่าๆ กว่าเราจะไปถึงที่พักก็สามทุ่มกว่าแล้ว เราควรต้องรีบกลับ
แต่โชคดีที่ชิบุย่ามีรถไฟสายตรง (สาย TK ) วิ่งไปถึงโยโกฮาม่าเลย ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนที่ไหน
แต่เดินทางกลับง่ายๆ ก็ไม่ใช่เราสิ เด๋อแล้วเด๋ออีก เด๋อในเด๋อ!
จริงๆ ขบวนที่เราขึ้นมา ก็คือวิ่งตรงไปโยโกฮาม่าอยู่แล้ว แต่เราดันไม่ใจ
เลยเดินออกมาด้านนอก (ที่สถานีไหนก็ไม่รู้อ่ะ) เดินออกมาดูป้าย ดูเที่ยววิ่ง
แล้วก็มาอ๋ออออ .....ที่จริงก็นั่งมาถูกแล้ว จะเด๋อ เดินออกมาทำไมวะ 55555555
(ถ่ายจากสะพานลอย ใกล้ๆ ที่พักของเรา วิวดี ลมเย็น อากาศเย็นสบายมาก)
สะพานลอยที่ญี่ปุ่น ดูดี ดูปลอดภัยกว่าบ้านเรามาก 55555
คือสว่างเพราะมีติดไฟเป็นระยะๆ แล้วก็กว้างและสะอาดด้วย
หลังจากนั้นเราก็เก็บกล้องแล้วล่ะ เพราะ..ฝนเริ่มโปรยปรายแล้ว
รีบวิ่งกลับที่พักทันที เพราะพรุ่งนี้ เราจะไปดูคอนเสิร์ตกันแล้ว!!
คอนเสิร์ตวันสุดท้าย เพื่อนคนหนึ่ง (สาวมีน) ต้องกลับวันนี้
หมอป่านแยกไปส่งมีนที่สนามบิน และรอรับน้องสาวเราอีกคน น้องเอ ที่จะมาดูคอนในวันนี้
ส่วนเราก็เดินทางไปคอนกับพี่จินกันสองคน
และเนื่องจากวันนี้พวกเราไม่ต้องซื้อGoods ใดๆ แล้ว เพราะทุกคนได้ของที่อยากได้ครบแล้ว
เลยออกสายๆ แต่งหน้าแต่งตัวกันเต็มที่ กะว่าสวยๆ
แต่!! พอเปิดประตูห้องออกมาปุ๊บ เราก็เจอกับสายฝนทันที
คอนฯ สองวันแรก แดดร้อนจนเพื่อนเราผิวไหม้แดด แต่พอวันสุดท้าย ฝนตกซะงั้น
แล้วก็ตกไม่หยุดตลอดวันเลยด้วย ตกพรำๆ ลมไม่แรง แดดไม่มี ครึ้มๆ แบบนั้นทั้งวัน
(ป้ายโฆษณาที่สถานีรถไฟ ใหญ่บะเริ่มเลย)
เพราะว่าการได้จัดคอนเสิร์ตที่นิสสันสเตเดี้ยมได้ถึง 3 วันติดกัน
มันเป็นอะไรที่ WOW มากๆ ก็เลยมีอีเว้นท์พิเศษๆ หลายอย่างด้วย
อย่างเช่นในรูปนี้ ก็คือตั๋ววันเดย์พาส สำหรับรถบัสที่วิ่งในโยโกฮาม่า
ที่เป็นลายพิเศษ มีขายเฉพาะช่วงที่โทโฮฯ จัดคอน 3 วันเท่านั้น
ลิมิเต็ดอิดิตชั่นละ โฮะๆๆๆ
เค้าจำกัดการซื้ออยู่ที่ไม่เกินคนละ 2 ใบ (หรือ 4 วะ? ลืมแล้วอ่ะ)
ตรงนี้เป็นซุ้มอะไรสักอย่างของ SMT คล้ายๆ กับสมัครบัตรอะไรสักอย่าง
มีไว้บริการสำหรับคนญี่ปุ่นค่ะ พวกเราไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย เค้าเลยไม่สนใจ 55555
ส่วนเราแค่เห็นว่ามีชื่อ TVXQ! ก็เลยถ่ายรูปมา แล้วก็ไปตามหาสแตมป์โทโฮกันต่อ
สมุดสแตมป์เป็นแบบนี้ เราไปหยิบจากประชาสัมพันธ์ของสถานี
จากนั้นก็เป็นการเดินหาร้านที่มีสแตมป์วางอยู่แล้วล่ะ
แต่เนื่องจากเราต้องไปนัดรับบัตรคอนกับคนที่เราซื้อต่อ + ฝนตก + ร้านที่มีสแตมป์อยู่ไหนก็ไม่รู้
เราเลยเลือกที่จะไปที่สเตเดี้ยมก่อนดีกว่า เพราะตอนนั้นก็บ่ายโมงกว่าแล้ว
แต่พี่จินจะไปล่าสแตมป์ ก็เกิดอาการแยกทางกันอีกแล้ว
เราแยกกันไปคนละที่ พี่จินไปหาร้านสแตมป์ ส่วนเราก็ไปสเตเดี้ยม
ระหว่างทางฝนก็ยังคงตกอยู่ตลอด
โชคดีที่เราซื้อเสื้อกันฝนมาแล้ว ก็ใส่เสื้อกันฝนแล้วเดินต้วมเตี้ยม
ลุยน้ำ เน้นว่า ลุยน้ำฝนจริงๆ เพราะรองเท้าหนังของเรามันไม่กันน้ำ
ไม่มีรองเท้าบูทแบบใส เอาไว้ป้องกันฝนอีกด้วย
ก็เดินใส่รองเท้าเปียกๆ แบบนั้นแหละ ทั้งวันเลย เย็นเท้ามาก
และนี่เป็นรูปสุดท้ายที่เราถ่ายไว้ ก่อนจะเก็บกล้องไว้ในกระเป๋า
เพระากลัวกล้องพังจริงๆ จากที่คิดว่าจะมาถ่ายรูปบรรยากาศหน้าคอนสวยๆ
กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างพังหมดเพราะสายฝนนี่แหละ
แต่ถามว่าผู้ชายของเรายอมแพ้ให้กับสายฝนมั้ย?
ตอบเลยว่าไม่! เพราะสายฝนเย็นๆ ที่ทำให้คนกลัวหนาวแบบเราทรมาน
กลับทำให้ผู้ชายเราอบอุ่น และการแสดงก็ร้อนแรงได้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ด้วยซ้ำ
การแสดงคอนเสิร์ตกลางแจ้งทั้งที่ฝนตกตลอดการแสดง
มันเป็นเรื่องยากมากๆ เลยนะ
เพราะมันสามารถเกิดอะไรไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา
ทั้งเวทีลื่นๆ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่อาจจะพังเพราะความชื้น
และอากาศเย็นๆ พวกนั้นอีก ขนาดเราที่ใส่เสื้อกันฝนป้องกันความเปียกชื้น
ยังรู้สึกว่ามันลำบากมากๆ เลย แต่ทั้งยุนโฮและชางมิน รวมถึงแบ็คอัพคนอื่นๆ
ที่ยังต้องแต่งตัวเหมือนสองวันก่อนละ ไม่หนาวแย่หรอ?
สายฝนที่ตกในวันนั้นช่างแย่จริงๆ
แต่ทั้งยุนโฮและชางมินกลับยอดเยี่ยมสุดๆ ไปเลย
การแสดงของพวกเขาไม่มีผิดพลาดเลยสักนิด
ที่ร้อนแรงก็ยังคงร้อนแรง อะไรที่สุดยอดก็ยังยอดเยี่ยมมากๆ
และ.. ดูสายตานี้ของเขาสิ... มันสร้างความอบอุ่นให้คนดูอย่างเรามากๆ เลยละ
ตอนแรกที่ยุนโฮทำหน้าเอ๋อๆ มันดูตลกนิดๆ แต่พอเขายิ้มออกมา...
อบอุ่นยิ่งกว่าพระอาทิตย์ซะอีกแน่ะ
รู้สึกตกหลุมรักรอยยิ้มของตาหมีคนนี้อีกครั้งแล้วสิ
อยากให้ทุกคนได้ไปยืนอยู่ด้วยกันในตอนนั้นจริงๆ
รอยยิ้มเขา... มันทำให้คุณตกหลุมรักได้เลยนะ 5555
เรายังเล่าไม่จบหรอกนะ
แต่ตอนที่พิมพ์มาถึงตรงนี้... (สองเดือนหลังจากคอนเสิร์ตนั้น)
เรากลับตื่นเต้นกับคอนเสิร์ตที่ยุนโฮกับชางมินจะมีที่ไทยมากๆ
จนไม่สามารถเรียบเรียงความรู้สึกในวันนั้นได้ดีกว่านี้แล้ว
ขอแปะโป้งเอาไว้ก่อนแล้วกัน
สัญญาว่าจะมาแก้ไขเพิ่มเติมทีหลัง
วันนี้ 13.08.2018 ขอจบไว้เท่านี้ก่อน
เพราะอีกแค่ 4 วัน!! สี่วันเท่านั้น เราก็จะได้เจอพวกเค้าที่บ้านของเราแล้ว
ในฐานะของทงบังชินกิ ที่ไม่ใช่โทโฮชินกิ
ที่ในเมืองไทย ไม่ใช่ญี่ปุ่น
สองบทบาทที่ทำให้เรารู้สึกไปคนละแบบ
โทโฮชินกิที่ยิ่งใหญ่ในญี่ปุ่น กับ ทงบังชินกิของแคสไทย(ผู้บ้าพลัง)
ถ้าคุณไม่ใช่พวกเราละก็... คุณไม่มีทางรู้สึกถึงความตื่นเต้นของเราแน่นอน
รอนะ... เดี๋ยวจะมาอัพเดทเพิ่มเติม
ตอนนี้ขอไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคอนเสิร์ตในอีกสี่วันข้างหน้าก่อนแล้วกัน
BYE!!
มีแต่ตอนพูดคุย ทักทายเท่านั้น ที่เก้าอี้สามารถทำประโยชน์ได้
เพราะระหว่างที่ศิลปินกำลังแสดง แฟนคลับด้านล่างก็จะลุกขึ้นยืนโบกแท่งไฟให้กำลังใจพวกเขาไปด้วย
อ้อ! ที่นั่นไม่มีเสียงกรี๊ดแทรกระหว่างที่แสดงด้วยนะ ถ้าไม่ใช่ท่อนที่ต้องอังกอร์ - พูดคุยกับแฟนคลับ
เงียบกริบจนนึกว่ามางานแสดงธรรมได้เลย 555555
วัฒนธรรมการดูคอนเสิร์ตช่างแตกต่างกับบ้านเรามากจริงๆ
เพราะที่นั่น เขาไปดูการแสดง ไปฟังนักร้อง-ร้องเพลง
แต่บ้านเรา ไปเพื่อความบันเทิง ไปหาความสนุกสนานพร้อมกับเสียงเพลง
(ทั้งร้อง-เต้นกันอย่างบ้าพลัง) ......แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกชอบการดูคอนเสิร์ตในญี่ปุ่นอยู่นะ
เพราะอย่างน้อย เราก็ได้นั่งดูการแสดงแบบดีๆ ไม่มีกล้องมือถือบังระดับสายตาล่ะ 555555
ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เรารู้สึกเกร็งๆ กับการต้องนั่งเงียบๆ อยู่ตลอดสาม-สี่ชั่วโมงก็ตาม 😅
*อนึ่งการถ่ายรูป-อัดคลิป จากในงานถือเป็นเรื่องผิดกฏหมายของที่นั่น เราถึงไม่มีรูปในคอนมาอวด
แต่วันที่เราไปดู มีการถ่ายทอดสด ออกทีวีในญี่ปุ่นด้วย
อืม... เดี๋ยวจะกลับมาแก้ไข เพิ่มคลิปให้นะ ♥
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น