วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกติ่ง > First time in Japan : Tohoshinki Begin Again in Nagoya 14.01.2018





เห่นนนนนโหล่ววววววววว
ห่างหายจากการเขียนบล็อค 1 ปีเต็มๆ  ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง
(ก็ทั้งไม่รู้จะรีิวิวอะไรดี ทั้งขี้เกียจ อุ่ย... หมายถึง งานเยอะมากเลยไม่มีเวลาเขียนบล็อคต่างหาก ฮ่าๆๆ)

ก็หลังจากที่ห่างเหิน ห่างหายการเขียนบล็อค-รีวิว มาเป็นปี
วันนี้จะเขียนรีวิวการไปดูคอนเสิร์ตของ "โทโฮชินกิซัง" ละ!


ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนว่า เป็นติ่งมาได้สิบSปีแล้วค่ะ
ตั้งแต่สมัยยังเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตด้วยการเสียบสายโทรศัพท์ (ยังไม่แก่นะ 555)
ก็วันเวลามันผ่านไปนานหลายปี ผ่านหลายๆ เหตุการณ์มาเรื่อยๆ
มันมีช่วงเวลาที่เราเหนื่อยกับการเป็นแฟนคลับ หงุดหงิดกับเรื่อง(งี่เง่า)หลายอย่างที่เกิดขึ้นในแฟนด้อม 
เราอยากหยุด อยากปล่อยมือ อยากเลิกเป็นติ่งแล้วกลับไปเป็นคนธรรมดาๆ บ้าง
แต่อาจจะด้วยความผูกพันธ์กับการที่เราโตมากับพวกเขาด้วยละมั้ง
หรือไม่ก็คือ...เราชินกับการมีพวกเขาอยู่ในชีวิตซะแล้ว มันเลยนึกไม่ออกว่าถ้าวันหนึ่ง
เราหยุดรับรู้ข่าวสาร หรือเรื่องราวของพวกเขาแล้ว ตัวเราจะเป็นยังไง...


และเรายังมีความฝันอย่างหนึ่งของการเป็นแฟนคลับว่า
สักวันหนึ่ง.. เราจะต้องไปดูคอนณ ของโทโฮชินกิถึงที่ญี่ปุ่นให้ได้!
ตอนยังอยู่เป็น 5 คน เรายังเด็กเกินกว่าจะไปหาพวกเขาได้
แต่ตอนนี้เราโตพอที่จะไปไหนก็ได้แล้ว 
และเราไม่อยากปล่อยให้โอกาสมันอยู่ห่างจากมือเราแค่เอื้อมเดียวแบบนี้ไปเรื่อยๆ

ตอนนั้น... พอรู้ว่ามีน้องจะไปดูคอนกับเพื่อน เพื่อนอีกคนก็จะไปเที่ยวญี่ปุ่นพอดี
เราก็เปรยขึ้นมาในกลุ่มทันทีว่า... งั้นไปดูคอนด้วยกันมั้ยละ
เป็นการชวนแบบไม่ทันคิด และคนอื่นๆ ก็ตอบแบบง่ายๆ เลยว่า ไปกัน!

ก็นั่นแหละค่ะ... จุดเริ่มต้นของทริป #หนีตามโทโฮอินนาโกย่า ของพวกเรา


หลังจากตกลงกันได้แล้วว่าพวกเราจะไปกัน
ก็มาเลือกกันเลยค่ะว่าจะไปรอบไหน? จองตั๋วยังไง? ไปยังไง? พักที่ไหน?
ซึ่งตรงนี้เราแทบจะยกให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนในกลุ่ม เพราะเราไม่ค่อยถนัดจริงๆ
สุดท้ายก็มาเลือกกันที่รอบไฟนอลที่นาโกย่า (ก่อนที่เค้าจะประกาศเพิ่มรอบ) 

ซึ่งบอกก่อนว่า ก่อนหน้าที่จะเริ่มทัวร์ มันก็มีข่าวแว่วๆ ออกมาว่า
เขาจะตรวจเข้มมาก ถ้าชื่อบัตรที่ซื้อไม่ตรงกับคนไปดูก็จะไม่ได้เข้าโดม
จ้อจี้ นู่นนั่นนี่เยอะแยะมากมาย จนร้านที่รับกดบัตรเองก็รับปากเราไม่ได้เหมือนกัน
ว่าจะได้เข้าไปดูมั้ย ซึ่งตอนนั้นบอกตรงๆ ว่ากลัวมาก นอยด์ไปสามวันเจ็ดวัน
แถมเราซื้อ 4ใบติด ร้านก็ไม่รับปากว่าจะหาได้ 4ใบเลยมั้ย
เราอาจจะต้องแยกกันนั่งเป็น 2-2  โอ๊ย ปัญหาเยอะอะไรขนาดนั้น!

อันนี้ต้องเล่าคือ.. ตอนนั้นอ่ะ เราไม่คิดแล้วว่าเราจะได้ไปดูคอนกัน
เพราะมันดูยากเย็นเหลือเกิน เราก็ปลงๆ ไปแล้วละ
จนน้องชายเข้าโรงพยาบาล ไปผ่าตัดไส้ติ่ง เราก็ไปเฝ้าไง
แล้วเดินผ่านหลังโรงพยาบาล ก็มีร้านขายโลงศพอยู่ติดๆ กัน 2-3 ร้าน
มีป้ายเขียนว่ารับบริจาคโลงศพให้คนยากไร้ ก็คือซื้อโลงที่ร้านเขานั่นแหละ
แล้วก็จะมีพวกอาสา กู้ภัยเขามารับเอาโลง-ผ้าดิบ ที่มีคนมาทำบุญไปใช้เอง
เราเดินผ่านอยู่สองสามรอบ ลังเลว่าจะทำดีมั้ย? ไม่เคยทำไม่รู้ว่าโลงนึงจะแพงมั้ย
สุดท้ายก็ไปถามป้าเค้า  เค้าบอกว่าโลงละ 1,500฿ 
แต่ถ้าเงินไม่พอซื้อทั้งโลง ก็บริจาคเป็นเงินสมทบ  2-3ร้อยก็ได้ ได้บุญเหมือนกัน
ทีนี้เราก็ไลน์ถามเพื่อนเลยว่า ทำบุญด้วยกันมั้ย เผื่อแต้มบุญเราจะถึง
เพื่อนก็โอนเงินมาสมทบเลย  สรุปซื้อโลงได้ใบนึง + ผ้าดิบสีขาวอีก 5ผืน
เค้าให้เขียนชื่อลงไป แล้วจุดธูปบอกด้วย

คาถาก็ตามนี้เลยค่ะ จุดธูป สวดคาถา กรวดน้ำแล้วเผาใบเสร็จลงในปี๊บ

แต่!!  ช่วงนั้นราหูอมพี่กี้ของเราเหลือเกิน
ตอนเขียนชื่อก็เลยเขียนชื่อพี่กี้เป็นผู้ร่วมบริจาคไปด้วยกันซะเลย
หวังว่าพวกสัมภเวสีทั้งหลายจะเลิกรุมทึ้งพี่ชายคนดีของพวกเราซะทีนะคะ

และไม่น่าเชื่อค่ะ... หลังจากนั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ร้านที่รับกดบัตรให้พวกเราเขาก็ไลน์มาบอกว่า หาบัตรให้ได้แล้วนะ 4ใบเลย
เขาลัดคิวให้ก่อน เพราะมันเป็น 4ใบรวด  (ปกติเขาจะกดแบบ 2ใบ)
.
.
.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด ( ⁰д⁰)!!!
มูเตลูมั้ยละคุณ!!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วละค่ะ
สรุปว่า.. พวกเราได้ไปกันแล้ว(ว้อย) v( ̄∇ ̄)


ทีนี้เราก็มาหาที่พักกันเถอะ!
ที่พักตอนแรกก็จะพักโรงแรม ตัวเราแอบเล็งแบบออนเซ็นไว้ด้วย คืนละ 3พันกว่าบาท
แต่ช่วงที่เรากำลังเลือกหากันอยู่ ราคาโรงแรมก็อัพขึ้นเรื่อยๆ จนตกคืนละหมื่น
แพงเกินงบ  Orz  บ๊ายบายค่ะออนเซ็น ไว้เจอกันคราวหน้านะ
 หันมาเลือกที่พักแบบ Airbnb แทน

แล้วก็มาเจอปัญหาเรื่องการส่งบัตรคอน
ตอนแรกจะให้ส่งมาที่ไทย พวกเราก็จ้อจี้ กลัวหาย กลัวคลาดกัน
ก็ไปหาที่ฝากรับจดหมายให้กันแทบตาย ตอนแรกก็กะว่าจะไปพักโรงแรมกันคืนนึง
เพื่อที่จะได้ส่งตั๋วคอนเราไปที่โรงแรม ให้เขารับให้แทน
แต่โรงแรมไม่ตอบe-mail เลยวะ  เซ็งมากเลยตอนนั้น

สุดท้ายเราก็เลือกที่พักแบบ Airbnb ลังเลอยู่ 2ห้อง เราเรียก(เอง)ว่า
ห้องสีฟ้า กับ ห้องสีชมพู  ส่วนตัวเราชอบห้องชมพูมากกว่า เพราะมันมีเตียงใหญ่ 2เตียงเลย
แต่เพื่อนบอกว่าห้องสีฟ้าอยู่ใกล้สถานีรถไฟแล้วก็เดินทางสะดวกมากกว่า
สุดท้ายก็เชื่อเพื่อน ซึ่ง..เชื่อเพื่อนก็ดีกว่าจริงๆ (。-∀-) เพราะมันใกล้สถานีรถไฟจริงๆ
ห่างจากสถานีSakae (ซาคาเอะ) แค่นิดเดียว  เดินทางสะดวก ลุกนั่งสบาย
แถมร้านสตาร์บัคก็อยู่ใกล้ๆ ด้วย  แฟมิลี่มาร์ทก็มี หากินสบายละทีนี้

  ห้องพักพวกเราเป็นห้องเล็กๆ แบบในรูป  นอกจากเตียงสองชั้น
ก็มีเบดโซฟา แล้วก็ที่นอนแบบญี่ปุ่นให้ด้วย  กรี๊ดๆ ชอบๆ
แล้วก็มีเครื่องครัว-ของใช้จำเป็น-อุปกรณ์ในห้องน้ำให้ครบครัน
ขอบอกว่าชอบครีมอาบน้ำของเค้ามาก เป็นของ bouncia
ครีมนุ่ม ฟองเยอะ กลิ่นหอม และคือมันเป็นแบบผสมมอยเจอร์ไรเซอร์
ติดใจมาก แต่ไม่ได้ซื้อกลับมาก็แอบเสียดายอยู่
(ล่าสุดเซิร์จเจอแล้วว่าที่ไทยก็มีขาย เย้!)

แล้วที่สำคัญคือ เจ้าของห้องเค้ารับฝากจดหมายให้ด้วย
คือให้ส่งตั๋วคอนไปให้เค้าเลย เค้าจะรับไว้ให้  วุ้ย! ใจดีไปอีก
(เอาจริงๆ ถ้าไปพักกันแค่ 2คน ห้องมันก็พักสบายมากแหละ
แต่พวกเราไปกัน 4คน แถมของเยอะด้วย ห้องมันก็เลยดูเล็กแคบไปถนัดตา)

จบเรื่องที่พัก ก็มาต่อที่สายการบิน ตอนแรกพวกเราเลือกสายการบินของเวียดนาม
ต่อเครื่องที่โฮจิมินห์ ราคาประมาณเก้าพันกว่าบาท ไม่ถึงหมื่น
แต่ด้วยความชิลๆ ของพวกเราอีกแล้ว ราคามันก็อัพขึ้นเรื่อยๆ
จนสุดท้ายพวกเราก็ไปจบที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ที่ถูกที่สุดในตอนนั้น
ราคา 13,730฿  ไปต่อเครื่องที่ สนบ.Changi

เอาละ!  ตั๋วคอน..มีแล้ว!  ที่พัก...ได้แล้ว!  ตั่วเครื่องบิน..จองแล้ว! โค้ท..ไปเช่ามาแล้ว!
พวกเราก็แค่รอเวลาที่จะบินเท่านั้น... เป็นการรอคอยที่ค่อนข้างตื่นเต้นไม่น้อย
รออยู่หลายเดือน... รอจนเลิกตื่นเต้น แล้วก็กลับมาตื่นเต้นใหม่อีกครั้ง
ในที่สุด.. ก็ถึงวันที่ 11.01.2018  ซึ่งเราจะเข้าไปรอที่กรุงเทพก่อนคืนนึง
เพื่อขาดเผื่อเหลืออะไร เราจะได้ไปซื้อก่อนเดินทาง
(สุดท้ายก็ไปซื้อกระโปรง+รองเท้าใหม่จริงๆ นั่นแหละ เพราะเผลอใส่รองเท้าแตะมาเลย)


12.01.2018
พวกเรานัดเจอกันที่ สนม.สุวรรณภูมิตอนบ่ายโมง แต่เจอกันจริงๆ ก็.. =_=; บ่าย2-3โมงโน่นแล้ว
เราแลกเงินกันแล้ว หลังเช็คอินและโหลดกระเป๋าแล้ว
(เพิ่งมารู้ว่ารวมน้ำหนักกระเป๋าได้ด้วยเว้ย  ได้คนละ 30kg.  เรา 4คน รวมกันได้ 120kg.เลย)

ได้เวลาถ่ายรูปก่อนเดินทางค่ะ


(อันนี้ก่อนเช็คอิน 555)







กับพี่ยักษ์สีแดงนี่... เราเดินตามหากันเลยนะ
เราทีมสีแดงค่ะ ต้องสีแดงเท่านั้น 55555

ขาออกจากกรุงเทพ เราไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาแฮะ
แต่จำได้ว่ามี ไก่ (กะเพราไก่)  กับเนื้อ (น่าจะเป็นสตูว์เนื้อนะ)
เราไม่กินเนื้อ เลยเลือกกินไก่  ก็อร่อยดีค่ะ  แอร์ก็บริการดีมากๆ  ปลื้มอ้ะ



ตอนไปถึงสนามบินชางงีที่สิงคโปร์ ฝนตก อากาศเริ่มเย็น... เราลงที่เทอร์มินอล 3 
แล้วต้องรีบวิ่งไปต่อเครื่องที่เกท..? (จำไม่ได้แล้วแหะ)  แต่มันอยู่ไกลมาก
แล้วมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนเครื่องออก วิ่งดิเอ๋ วิ่ง! กระหืดกระหอบเข้าไปในเกท
บอกเลยว่าตอนนั้นเพิ่งตื่น แถมยังแสบจมูก เพราะจมูกแห้งอีกมากๆ เริ่มส่ออาการจะป่วยแล้วสิ
สภาพเรานี่เยินกว่าเพื่อนซะอีก 5555  แต่ยังจะมีอารมณ์ถ่ายรูปกันอยู่อีก


ตอนอยู่บนเครื่องขาไปนาโกย่า ช่วงประมาณตี3-4 เรานี่ปวดท้องน้อยมาก เพราะอากาศเย็น
ขนาดว่าหลับไปแล้ว แต่ก็ยังสะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกบีบๆ ที่ท้องน้อยมาก ตอนนั้นอยากได้กระเป๋าน้ำร้อนสุดๆ
แต่คนที่ป่วยหนักกว่าเราคือคุณหมอของทีมค่ะ ป่วยก่อนคนอื่นซะอีก 555
ท่าทางจะเมาขนมปังค่ะ ได้กลิ่นแป้งๆ แล้วเวียนหัว กินข้าวเช้าแทบไม่ได้
แต่ได้น้ำร้อนๆ มาช่วยบรรเทาอาการนิดหน่อย ก็เลยดีขึ้น
หลังอาหารเช้าแล้ว ก็แอบมีเล่นเกมสลับกับนอนอีกนิดหน่อยฆ่าเวลา


13.01.2018
เราไปถึงสนามบินนาโกย่าประมาณ 8โมงเช้า อากาศน่าจะอุ่นแล้ว แสงแดดสว่างเจิดจ้า น่าจะอุ่นเนาะ
พวกเราต่อแถวผ่านตม. กันคนละแถว  อินี่โชคดีได้เจอ ตม.หนุ่มหล่อค่ะ หุหุ (*´∀`*)
หนุ่มญี่ปุ่นงานดีนี่หาได้ง่ายมากๆ ตามท้องถนนเลยละ ขอบอก
ตอนเราอยู่ในตม. เราไม่รู้สึกถึงบรรยากาศตรวจที่เข้มข้นแบบที่คนอื่นขู่เลยนะ
อาจเพราะไม่ใช่สนามบินนาริตะหรือเปล่า?  หรือไม่ก็คือ..เขาอ่านรัศมีความติ่งของพวกเราออก
นอกจากถามเรื่องที่พักนิดหน่อยแล้ว ก็ไม่ได้ถามอะไรเราเพิ่ม ปล่อยให้เข้าไปง่ายๆ เลย ฮิ้วววว

ที่สนามบิน เราไม่ได้ถ่ายรูปอะไร แค่เช็คอินในfb เฉยๆ
ไม่ได้แต่งหน้าอะไรมาก แค่ทาแป้ง ทาลิปกันปากแตก แล้วก็แปลงร่าง
ขุดเอาเสื้อไหมพรมมาใส่คู่กับโค้ท
ก่อนออกจากสนามบิน ดูสภาพอากาศแล้วน่าจะอุ่น ตอนแรกจะไม่ใส่โค้ทกันด้วยซ้ำ
แต่โชคดีแล้วละที่พวกเราใส่โค้ทออกมากันเลย เพราะแค่ออกจากประตูเท่านั้นแหละ
ลมหนาวตีหน้าพั่บๆ สั่นกันเป็นลูกนกต้องลมหนาวเลย

พวกเรานั่งรถไฟแบบ First Class  U sky ออกจากสนามบินเข้าตัวเมืองกันค่ะ
เป็นรถไฟที่เก๋ไก๋มาก แอบคิดถึงแอร์ลิงค์แบบเฟิร์สคลาสของบ้านเรา เสียดายที่ไม่มีแล้ว
ก็นั่งมองวิวไปเรื่อยๆ สลับกับแอบงีบบ้าง เพราะพักผ่อนไม่เต็มที่เลย

เรื่องการเดินทางนี่ต้องขอโทษจริงๆ เราจำไม่ค่อยได้ว่าเราไปลงSub Wayที่สถานีไหนบ้าง
เพราะส่วนมากเพื่อนเป็นผู้นำทีม พาไปหมดเลย 5555

แต่ตอนไปถึงวันแรก ระหว่างที่พวกเรากำลังหาล็อคเกอร์ใหญ่ๆ เพื่อฝากกระเป๋า
เพราะกระเป๋าเดินทางของเรามันใหญ่ขนาด 28"  ล็อคเกอร์ที่เจอส่วนมากเป็นแบบช่องเล็กๆ
ระหว่างที่กำลังมึนกับเส้นทาง เราก็เจอกับอาสาสมัครสาวสวย
น่ารักจริงๆ นะ ใส่โค้ทสีแดง สวมหมวกและมีปลอกแขน ถือเอกสารปึกนึงยืนอยู่ตรงทางออกสถานี
พวกเราไปถามทางกับสาวน้อยคนนั้น  (น่าจะอายุน้อยกว่าเราละนะ)
ซึ่งอาสาสมัครสาวคนสวยก็ช่วยเหลือพวกเราดีมาก พาเราเดินหาล็อคเกอร์
พอเห็นว่าพวกเรามีกระเป๋าใบใหญ่ ก็ช่วยด้วยการพาลงลิฟต์
แต่ว่า... ลิฟต์นั่นมันแค่ช่วงสั้นๆ เล็กมาก แล้วก็ลงช้ามากๆ
ตอนหมอป่านกับเจ้าเอลงไปก่อน แล้วพบว่า จริงๆ แล้วบันไดที่อยู่ด้านข้าง ก็ไม่ได้สูงอะไรเลย
พวกเรางี้ขำกันแทบตาย แต่อาสาสมัครคนสวยของพวกเราดูเหมือนจะรู้สึกผิด 
เพราะเอาแต่ขอโทษใหญ่เลย  รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นจะชอบพูดขอโทษกันสินะ
ขนาดเราไปเดินชนเขา เขายังเป็นฝ่ายขอโทษเราเลย
คล้ายๆ กับว่า... ขอโทษนะ ที่ฉันเดินขวางทางคุณ จนคุณต้องมาเดินชนฉัน -__-;;

หลังจากเอากระเป๋าเก็บไว้ในล็อคเกอร์แล้ว
พวกเราเลือกที่จะไป Nagoya Dome ก่อนเป็นอันดับแรก
เพื่อที่จะไปซื้อ goods หน้าคอนกันก่อน  วันที่ดูคอนเราจะได้ไม่ต้องขนของเยอะๆ
ซึ่งระหว่างทางนี่ก็เจอแต่แม่ๆ บีอี (แฟนคลับของโทโฮฯ) เต็มรถไฟเลย
พวกเราก็เลยตัดสินใจง่ายๆ เดินตามบีอีไป เดี๋ยวก็เจอโทโฮเอง 55555

แอบแวบไปถ่ายรูปเร่งด่วนที่หน้ารถคอนเทรนเลอร์แป๊บนึง
ยืนอยู่สองสามวิ แชะ! อ่ะ เดินไปต่อแถวซื้อของต่อ 5555
(กรี๊ด ถ่ายคู่กับชางมินค่าาาา ♥)

 ตอนพวกเราไปถึงโดม คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นะ แถวกู๊ดส์ก็สั้นมากๆ ด้วย
แต่หลังจากพวกเราซื้อของกันเสร็จแล้ว หันกลับไปอีกที คือแถวกู๊ดยาวเว่อ (ʘᗩʘ’)
คนทยอยมาช่วงบ่ายกันทั้งนั้น อาจจะเพราะอากาศหนาวด้วยละมั้งเลยมาช้ากัน

พวกเราแบ่งกันไปซื้อเป็นสองรอบ  เพราะเรายังมีกระเป๋าสัมภาระอยู่อีกคนละใบ ไปรอบแรกได้ของมาเยอะมาก แต่ก็ยังไม่พอ  เรากับน้องเปิ้ลเข้าไปซื้ออีกรอบสอง  รอบแรกได้ริสต์แบนมา 8 อัน (ซื้อครบ 8พันเยน ได้ริสต์แบน 1 อัน) รอบสองได้มาอีก 2 อัน รวมกันเป็น 10อันพอดี


ใช่ค่ะ ทั้งสองตะกร้านี้ของพวกเราเอง  นี่แค่ซื้อรอบแรกเองนะ


ของพวกนี้ซื้อไปใช้เองค่ะ ไม่ได้ซื้อไปขายนะ 55555
พวกเรานี่โดนคนมองหยั่งกะเป็นพวกร้านค้ารับพรีออร์เดอร์แน่ะ

นี่คือของทั้งหมดที่พวกเราซื้อในวันแรก แต่! ยังไม่หมดแค่นี้นะ
เพราะหลังจากออกจากโซนขายกู๊ดส์แล้ว พวกเราไปเจอบูทที่ขายสินค้าของBEอีก
(ซึ่งเราเกลียดระบบชนชั้นนี้มากกกกกกกกกกกก)



เจอคนไทยอยู่สองคน เค้ามีบัตรเมมบีอี อายุ 3 ปี
ซึ่งพวกเขาก็จะช่วยพวกเราซื้อของ แต่!  ปรากฏว่า น้องหมี TB (ที่ไม่ได้แปลว่าวัณโรค)
ต้องอายุเมมเกิน 5 ปี ถึงจะซื้อได้..... ค่ะ  หน้าม่อย คอตกกันเป็นแถวๆ
ตอนนั้นพวกเราเริ่มหิวข้าวกันแล้ว แต่ยังคงอยากได้ตุ๊กตาหมีกันอยู่
ก็เลยยืนวอแวอยู่หน้าบูทนั่นอยู่นานสองนาน สอดส่ายตามองหาคนที่อุ้มตุ๊กตาหมี
เพื่อที่จะไปขอให้เค้าช่วยซื้อให้เราหน่อย  (วินาทีนั้นคือ ด้านได้อายอดจริงๆ)
เราเจอหลายๆ คนที่อุ้มน้องหมีอยู่ แต่ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วยแฮะ
จนสายตาเราหันไปเจอ คุณป้ากับคุณยายสองคนถือกล่องน้องหมีออกมาจากบูท
ซึ่งต่อไปนี้ เราจะเรียกคูมแม่บีอีทั้งสองท่านนั้นว่า  คุณพี่สาวใจดีแล้วกัน 5555
พวกเรายืนเกี่ยงกันอยู่นานว่าจะเข้าไปคุยดีมั้ย  น้องเปิ้ลกับหมอป่านก็เข้าไปบูทบ่อยแล้ว
กลัวพนักงานขายจำหน้าได้ แล้วไม่ขายให้ ไอ้เราก็คุยเป็นแต่Eng ฟังญี่ปุ่นไม่ออกด้วยสิ
แต่สุดท้ายก็เป็นหมอป่านที่เข้าหาคนอื่นง่ายกับน้อง ที่เข้าไปถาม  
ส่วนเรากับน้องเปิ้ลก็ยืนเฝ้าของไป
พร้อมกับส่งสายตาปริบๆ ไปทางนั้น ขอให้เค้าช่วยเรา

(꒪⌓꒪)

ทั้งสองคนสื่อสารกับคุณพี่สาวใจดีอยู่นานมาก จนเราเริ่มใจไม่ดีละ
คิดว่าไม่ได้แน่ๆ ก็เลยเริ่มส่องหาคนอื่น เผื่อมีคนไทยจะช่วยเราได้อีก
แต่... สุดท้าย เค้าช่วยพวกเราอ้ะ! ༼⁰o⁰;༽ กรี๊ดๆๆๆ  ดีใจน้ำตาแทบไหล
แต่ว่าซื้อได้รอบละตัว  เราต้องไปซื้อเองทีละคน
ทีนี้ก็วิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าไปหา จ่ายแบงค์หมื่นเยนไป รับเงินทอนแล้วอุ้มน้องหมีออกมาคนละกล่อง
โค้งขอบคุณคุณพี่สาวใจดีรอบแล้วรอบเล่า แล้วเราก็เริ่มชวนเค้าคุยบ้าง
แล้วเราก็เข้าใจว่าทำไมหมอป่านถึงคุยกับเขานานขนาดนั้น
เพราะเราถามเป็นภาษาอังกฤษ แต่เค้าตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ เลย  T___T
คุณพี่ฟังพวกเราเข้าใจค่ะ แต่เราแปลไม่ออกเลย
ก็คือพึ่งกูเกิ้ลขากเสลด เอ้ย ทรานสแลด ช่วยสุดชีวิต
สุดท้ายพวกเราก็ขอบคุณแล้วบอกลาคุณพี่ใจดีและสวยทั้งสองคนอีกครั้ง
(เป็นการโค้งกันไปโค้งกันมาที่น่ารักดี คนญี่ปุ่นที่นิสัยดีน่ารัก ก็จะน่ารักมากจริงๆ)

ตอนนี้สัมภาระพวกเราเริ่มเยอะแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะไปที่พักก่อน
เพราะเจ้าของห้องส่งข้อความหา บอกว่าเช็คอินได้เลย
พวกเราก็หิ้วกระเป๋ากู๊ดส์ อุ้มกล่องน้องหมี ออกจากโดม ตรงไปที่พักทันที

ทิวทัศน์บ้านเขาคือดีงามจริงๆ สะอาด เป็นระเบียบ เงียบสงบมาก!
ชอบมากๆ เลย  อยากอยู่ในเมืองที่สะอาดๆ เดินทางสะดวกแบบนี้บ้างจัง


กลับมาถึงที่พัก  เราเช็คของที่ซื้อมาวันนี้ก่อนเลย
พอรู้จำนวนที่เราซื้อกันวันนี้แล้ว ตกใจมากจริงๆ  ∑(ΦдΦlll
เพราะเงินที่แลกมาแทบจะหมดในวันเดียว 
ของพวกเรา 4 คน หมดไปแปดหมื่นเยนกว่าๆ เกือบจะ เก้าหมื่นเยนได้เลยมั้ง
ซึ่ง.. คนที่ซื้อเยอะที่สุด ก็ไม่ใช่ใครละ  ผู้นำทีมของเรานั่นเอง 5555
ได้ริสต์แบนด์ไป 4 อัน งามๆ 555555

หลังจากนั้นพวกเราก็ออกจากที่พัก ไปหาของกินค่ะ
หิวมากแล้ว  ตอนนั้นเกือบห้าโมงได้ละมั้ง
นอกจากข้าวเช้าบนเครื่อง (เป็นแบบญี่ปุ่นเซ็ต มีปลาแซลม่อนย่าง)
พวกเรายังไม่ได้ทานอาหารกลางวันกันเลย
วันแรก พวกเราเลือกจะไปทาน ราเม็งข้อสอบ เจ้าต้นตำรับกันค่ะ
เดินฝ่าลมหนาวไปกัน หนาวมากจริงๆ วันนั้นมีพยากรณ์อากาศว่าอาจจะมีหิมะตกด้วย
หนาวจนแทบไม่อยากยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป
แต่บ้านเขาสวยจริงๆ ก็ขอสู้กับความหนาว ถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย

ขนาดตอนเย็นๆ ยังหนาวขนาดนี้เลย มนุษย์เมืองร้อนแบบเราสู้ไม่ไหวจริงๆ


ร้านสวยอ่ะ

เห็นป้ายแวบๆ แล้ว ใกล้จะถึงแล้ว

นี่ไง! ร้านที่เราจะกินวันนี้  Ichiran Ramen  เป็นมื้อแรกของวันที่ญี่ปุ่นเลย
ประตูทางเข้าจะแคบๆ หน่อยนะ

อันนี้น่าจะเป็นเซ็ตแบบสำเร็จรูป วางขายหน้าร้านงี้เลย


เข้ามาด้านในร้าน (อุ่นมาก)  ตู้กดเลือกราเม็งจะอยู่ติดกับประตูทางเข้า
เราก็กดๆ เลือกๆ กันไป นอกจากราเม็งที่เป็นเมนูหลักแล้วแล้วก็จะมีเครื่องเคียงต่างๆ
อย่างไข่ต้ม เนื้อชาชู  สาหร่าย  แล้วก็ข้าวกับของหวาน อะไรแบบนี้ให้ด้วย
วิธีซื้อก็คือ เอาเงินใส่ตู้ (ได้ทั้งเหรียญและแบงค์)  แล้วกดเลือกเมนู
พอกดเสร็จ รับเงินทอน เราจะได้กระดาษใบเล็กๆ ที่เป็นเมนูของเรามา
เราก็ถือกระดาษแผ่นนั้นแหละ เข้าไปในร้าน หาที่นั่ง
(ตอนเลือกเสร็จเราไม่ได้ถ่ายรูปเมนูให้ดู เพราะมีลูกค้าท่านอื่นมาต่อคิวอยู่พอดี)

บนโต๊ะก็จะมีกระดาษหน้าตาแบบนี้ คล้ายๆ กระดาษข้อสอบของญี่ปุ่นนั่นแหละ
ถ้าเป็นนักท่องเที่ยว ก็ขอเค้าเปลี่ยนเป็นกระดาษที่มีภาษาอังฤกษละกัน
แต่แผ่นที่เป็นภาษาอังฤกษ อีกด้านหนึ่งจะเป็นภาษาเกาหลีนะ
ไม่รู้ว่าคนเกาหลีมากินบ่อยด้วยหรือเปล่า  เพราะมีทั้งจีนและเกาหลีเลย
แต่ไม่มีภาษาไทยเด้อจ้าาาา
ส่วนกระดาษใบเล็กๆ ด้านบนนั่น คือใบที่เรากดมาจากตู้นั่นแหละค่ะ

ทีนี้เราก็วงกลมเลือกระดับความเข้มข้นของน้ำซุป / 
/ ความฉ่ำของน้ำซุป (คือไม่รู้จะแปลคำว่า Richness ด้วยคำไหนดี) / ปริมาณกระเทียม
/ ใส่ต้นหอมญี่ปุ่นมั้ย / เอาหมูชาชูด้วยรึเปล่า /  ระดับความเผ็ด / ชนิดของเส้น
อันนี้บอกเลยว่า ความเผ็ดแบบ Spicy ที่เราเลือก คือไม่ได้เผ็ดเท่าไหร่สำหรับลิ้นคนไทยอย่างเราๆ
เราไม่รู้สึกว่าเผ็ดด้วยซ้ำ  อาจจะเป็นเพราะเราเลือกความข้น+มัน ของน้ำซุปไว้ที่ปานกลางด้วยละมั้ง
ตั้งใจเอาไว้เลยว่าถ้าได้ไปอีกคราวหน้า เราจะสั่งแบบเผ็ดๆ ไปเลย

ที่ด้านข้างคอกกั้น ก็จะมีเมนู + วิธีการสั่งอยู่
ก็คือ หลังจากเราเลือกเมนู + เลือกระดับความเข้มข้นอะไรเสร็จแล้ว
เราก็เอาใบเมนูเล็กๆ ที่เราได้จากตู้กดหน้าร้าน วางไว้กับกระดาษข้อสอบ
แล้วกดปุ่มสีแดงที่อยู่ใต้ที่กดน้ำ เดี๋ยวจะมีพนักงานเข้ามารับเมนูของเราเอง

อันนี้ ด้านบนคือที่กดน้ำ (แก้วน้ำจะวางอยู่ข้างหน้าเรา อยู่ข้างบนอีกที)
ปุ่มเรียกพนักงาน คือกล่องสี่เหลี่ยมสีแดงๆ ข้างหน้านั่นแหละ (แก้วน้ำมันบังพอดี)

ด้านหลังที่นั่งก็จะมีที่แขวนเสื้อโค้ท แล้วก็ทิชชู่ก็จะอยู่ด้านหลัง
นั่งรอแค่แป๊บเดียว  ราเม็งของเราก็มาแล้ว เย้!!
พอเค้าเสิร์ฟราเม็งแล้ว เค้าก็จะดึงม่านไม้ไผ่ปิดให้ เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกค้า



ขอบอกว่าถ้วยใหญ่มาก ตอนแรกกลัวไม่อิ่ม กะว่าจะไปกดสั่งข้าวเพิ่ม
แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว  อิ่มแน่นอนเลย  ไม่สั่งเพิ่มละกัน
ถ้วยนี้ของเราราคา  790เยน  (ตีเป็นเงินไทยประมาณ สองร้อยกว่าบาท)
ตอนได้ซดน้ำซุปร้อนๆ คำแรก หลังจากเดินผจญลมหนาวมาทั้งวันแรก
อยากบอกว่ามันอุ่น มันรู้สึกดีมากกกกก แล้วก็อร่อยมากด้วย



เนี่ย! พออัพบล็อกแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกอยากกินอีกเลย
น่าจะมาเปิดสาขาที่ไทยนะ
คือไม่กล้าไปกินของก๊อบ กลัวผิดหวังอ่ะ แล้วมันไม่ได้ฟีลแบบที่โน่นด้วยแหละ
อากาศหนาวๆ แล้วได้ซดซุปอุ่นๆ คือใช่เลย! มันใช่ อยากกลับไปกินอีก
(อีกสองวันที่อยู่ที่นั่น เรากับน้องยังบ่นๆ เลยว่าอยากกลับไปกินอีกรอบ)

หลังจากกินเสร็จ คุณหมอเราจะไปดูไอฟงสิบพอดี ซึ่งก็อยู่ในละแวกเดียวกันนี่แหละ
เราเดินรับลมหนาวกันอีกสักพัก ไปที่ตึกแอปเปิ้ล
ปล่อยให้คุณหมอเลือกของไป เรากับน้องเปิ้ลออกไปตามล่าหาโปเกม่อนเซ็นเตอร์ดีกว่า
ซึ่งมันก็คือตึกตรงกันข้ามพอดี  ที่ด้านข้างก็มีอีเว้นท์เล็กๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ
แต่ตอนเราเดินไปถึง งานจบพอดี  =A=  อ้าว อดดูเลยง่ะ



ก็เลยเดินเข้าห้าง  วนๆ หาโปเกม่อนเซ็นเตอร์กัน ก็ไปเจอที่ชั้นห้า
สักพักคุณหมอกับน้องเอก็ตามมา เดินวนๆ ดูของ กรี๊ดกร๊าดถูกอกถูกใจหลายอย่าง
แต่เราไม่ได้ซื้อวะ ดูอย่างเดียว ถ่ายรูปไปอวดเพื่อนในFB ด้วย
 
กาชาปอง 300 เยนจ้า  (ประมาณ 80กว่าบาท ณ ตอนนั้น)

จริงๆ ก็มีดิสนีย์สโตร์ด้วย แต่ช่วงนี้หมั่นไส้มิกกี้ หมั่นหน้ามินนี่ เลยเดินผ่านไปเฉยๆ ไม่เฉียดเข้าไป
เราไปจุมปุ๊กอยู่ในโปเกม่อนเซ็นเตอร์กันนานพอดี ได้ของติดมือกลับไปเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ
เราเองก็ไปหยอดกาชาปอง  ได้น้องหมากับลิงกอลิล่า เวอร์ชั่นนั่งเหงา ท้อแท้มาอย่างละตัว 5555
หาที่แลกเหรียญไม่เจออ่ะ เลยหยอดมาแค่ 3 ชิ้น อีกอันเป็นเข็มกลัดกุเดทามะ
น้องดูท้อแท้ หม่นหมองมาก 5555
เราเอามาวางไว้หน้าคอมฯ ห้องทำงาน
ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปเถอะ!

ออกจากโปเกม่อนเซ็นเตอร์ พวกเราแยกกันเป็นสองทีม
น้องเปิ้ลกับคุณหมอไปซื้อซีดี ส่วนเราไปซื้อฮีทเทคเพิ่มกับน้องเอ
ไปเจอรองเท้าบูทของยูนิโคล่ สีไวน์แดง สวยมากกกกก อยากได้เว่อ
แต่เพราะเราเอารองเท้าบูทมาแล้ว น้องมันเลยบอกอย่าซื้อเลย ฮือออ
แต่สวยจริง มันลดราคาด้วยแหละ เอาไว้ทริปหน้าละกันนะ

พวกเรามาเจอกันอีกทีราวๆ สองทุ่มกว่าๆ นี่แหละ
พอเดินออกมาจากห้าง คือเจอหิมะตกเลย แต่ตกแค่นิดเดียว
แต่ลมหนาวบาดหน้ามาก จะรีบๆ เดินกลับไปซับเวย์เพื่อไปเอากระเป๋าในล็อกเกอร์
แต่ระหว่างทางเจอชิงช้าสวรรค์ ก็มีความอยากนั่งกันอีก แต่หาทางเข้าไม่เจอ 5555
เราเลยสรุปกันว่า กลับเหอะ อากาศหนาวแล้ว หิมะก็ตก



 เปิดไฟแล้วสวยมากเด้อ ถ้าไม่ติดว่าอากาศมันหนาวมากๆ เราคงอยากเดินถ่ายรูปอีกนานๆ เลยละ

สภาพท้องฟ้าที่หิมะกำลังตก แต่ถ่ายไม่ติดหิมะ 5555

ระหว่างเดินในสถานีซาคาเอะ พวกเราก็แวะซื้อเครื่องสำอางกันนิดหน่อย
ได้อุปกรณ์ช่วยชีวิตอย่าง Hot pad มาด้วยห่อนึง  10ชิ้น 300เยน(+vat อีกนิดๆ) กับผ้าปิดปาก
ไอ้ผ้าปิดปากนี่ช่วยเซฟชีวิตมาก เพราะมันกันลมไม่ให้บาดหน้าได้
แต่มันทำให้ฝ้าขึ้นแว่นแทน  (╥_╥)  เวงกำ 

ก่อนเข้าที่พัก พวกเราแวะแฟมิลี่มาร์ทเพื่อซื้อของสดนิดหน่อย
เพราะราเม็งที่เพิ่งทานไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน มันย่อยไปหมดแล้ว
โชคดีที่พวกเราพกมาม่าต้มยำกุ้งจากไทยไปด้วย
คืนแรกที่ญี่ปุ่นเลยมีปาร์ตี้มาม่ากันนิดหน่อย
แก้วสีเหลืองๆ คือแก้วรอบนาโกย่า ได้มาก็เปิดฉลองเลย
เพราะเดี๋ยวกลับบ้านแล้ว เราก็เก็บลงกล่องคอลเล็กชั่น ไม่มีโอกาสใช้อีก 5555
กินเสร็จ ก็คือแยกย้ายกันนอน เหนื่อยมาแล้วทั้งวัน
วันแรกยังเหนื่อยขนาดนี้ คอนเสิร์ตพรุ่งนี้ละ จะเหนื่อยขนาดไหนน้อ ♥

(สภาพจริงของที่พัก 555)


14.01.2018
Begin Again in Nagoya day3

ในที่สุด!!  ก็จะได้ดูคอนฯ ของโทโฮแล้ว ⸍⚙̥ꇴ⚙̥⸌
วันนี้ก็ตะเวนถ่ายรูปกันใหญ่เลย เพราะเราซื้อ goods ไปกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว



แต่ก็ยังไม่วายเข้าไปต่อแถวอีกรอบอยู่ดี เพราะมีพี่ฝากซื้อหมวก T เมื่อวานมันหมด
แต่ว่าวันนี้มันขายหมดตั้งแต่ 4 นาทีแรกที่เปิดขายแล้ว (;﹏;) โธ่ ไม่ทันชาวบ้านสักที
ก็ไปซื้อจี้ + ของอีกนิดๆ หน่อยๆ พร้อมคุณหมอ แล้วพวกเราก็ไปหาอะไรกินกันก่อน
เพราะไม่ได้กินข้าวเช้ากัน  กว่าจะได้กินก็เที่ยงแล้วอ่ะ คนที่ร้านอาหารก็เยอะมากๆ

วันนี้น้องเปิ้ลมีนัดเจอเพื่อน แล้วพาเราไปกินทงคัตสึเจ้าดัง
ร้านอยู่ในห้างAeon  ตรงข้ามโดมนั่นแหละ
 ของเราเป็นเมนูกระทะร้อนค่ะ  วันนั้นใส่เสื้อขาวไป ทางร้านมีผ้ากันเปื้อนให้ด้วย แต่เราไม่ได้ใส่อ่ะ
ถ้าใส่แล้วเราว่ามันเหมือนเด็กอ่ะ เหอๆๆ 
ตอนแรกเราว่าจะสั่งซอสราดเป็นแบบคาเระ  แต่ลืมบอกน้องตอนสั่ง
ก็ได้ซอสมิโซะมา เราไม่ค่อยชอบทานรสเค็มๆ ก็เลยแอบปิ๋วนิดหน่อยในมื้อนี้
แต่ถ้าถามว่าอร่อยมั้ย เราก็จะบอกว่าอร่อย ยิ่งคนชอบทานพวกเนื้อสัตว์น่าจะชอบ
(เรามันพวกเคี้ยวเอื้อง ชอบกินผักกินหญ้า 5555)

อันนี้น้องรินบอกว่า จริงๆ มันเป็นเซ็ตคู่รักนะ
ผู้ชายกินชิ้นใหญ่ ผู้หญิงกินชิ้นเล็ก แต่ผู้หญิงแบบกลุ่มเราเหมาสองชิ้น 555555

ร้านนี้เติมข้าวได้นะ แต่อิ่มแล้วอ่ะ กินไม่หมดด้วย 5555
กินเสร็จแล้วพวกเรากลับไปถ่ายรูปกันอีกรอบ
ขออนุญาตลงแค่บางส่วนละกันเนาะ


เราเขียนโน๊ตถึงบรรยกาศในคอนสั้นๆ ไว้  ที่นี่
ไม่ขอยกมาใส่ในนี้แล้วกัน เดี๋ยวมันจะยาวกว่าเดิม  55555

คอนฯ ครั่้งนี้ค่อนข้างนานนะ ประมาณ 3ชั่วโมงกว่าๆ
แต่วันนั้นคอนเริ่มเร็ว ประมาณ 4 โมงเย็นก็เริ่มแล้ว
พอจบคอนก็เลยไม่ค่อยดึกมาก (หรอ? 555)
พวกเราจะไปกินข้าวที่ร้านก็ไม่ทันแล้ว เพราะร้านส่วนใหญ่น่าจะปิดรับออร์เดอร์แล้ว
สรุปคือคืนนั้นเราฝากท้องที่แฟมิลี่มาร์ทอีกสักคืน..

กลับถึงที่พักคือเหนื่อยแบบบอกไม่ถูก ทั้งที่ก็ไม่ได้ใช้พลังงานอะไรมากนะ
เพลง Some body to love ไม่มีจังหวะขยับตัวเลย (ที่ไทยนี่ใส่กันสุดแรง)
ได้แค่แกว่งแท่งไฟแรงๆ เอาวะ! มันสุดในคอนก็ตอนนี้แหละ 5555

รู้เลยว่าวัฒนธรรมการดูคอนของที่นี่ ต่างจากที่ไทยมาก
คนที่นั่นกรี๊ดน้อยมาก  จะกรี๊ดก็ตอนที่ผู้ชายเราพูดอะไรดีๆ หรือทำท่าอะไรน่ารักๆ  หรือเต้นเท่ๆ 
ถ้าเทียบกับคอนฯ ที่ไทย  ส่วนใหญ่คนที่นี่จะยืนฟังเพลงกันเงียบๆ ซึ้งๆ 
ไม่ค่อยมีแฟนชานท์  มีแค่บางเพลงเท่านั้นแหละ  (อย่างตอน ไอตักคุเตะ~)
และแม้ว่าบัตรคอนที่เราซื้อจะเป็นแบบนั่ง แต่ช่วงที่โทโฮชินกิออกมาร้อง
ทุกคนพร้อมใจกันยืนตลอดทั้งช่วง  พอโทโฮฯ เข้าไปเปลี่ยนชุด ถึงจะนั่งกัน
(แอบกระซิบว่าควรเลือกรองเท้าดีๆ ใส่ด้วย เพราะยืนนานๆ ก็เมื่อยเอาการ)

แต่ช่วงที่ร้องเพลงบัลลาด คงต้องยกให้เพลง Bolero เป็นเพลงที่เราประทับใจที่สุด
มันซึ้ง มันอินจนขนลุก น้ำตาซึมไปหมด
ทั้งสองคนทำได้ดีนะ พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่เคยหยุด
สมกับเป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจริงๆ นั่นแหละ

Tohoshinki
Begin  Again
.
.
(○´―`)ゞ
.
.

15.01.2018
วันสุดท้ายในนาโงะยะ


วันนี้พวกเราตื่นสายกันค่ะ
กว่าจะได้ออกจากห้องพักก็เที่ยงกว่าๆ ได้ละมั้้ง
เนื่องจากมันเลยเวลาอาหารมาแล้ว พวกเราก็หิวข้าวกันหนักเลย
เมื่อวานในคอนฯ ยุนกิซังพูดถึง ฮิตสึมาบุชิ วันนี้เราก็จัดเลย
ตามล่าหาข้าวหน้าปลาไหลของร้าน Horaiken เจ้าดังในตำนานกัน

พวกเราไปที่สาขาในห้าง Matsuzakaya กันค่ะ
ตอนไปถึงที่โน่นก็บ่ายโมงแล้ว คนรอคิวค่อนข้างเยอะ
พวกเราก็ไปต่อแถว ซึ่งแถวก็ขยับค่อนข้างเร็วนะคะ
แต่รออยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง (  ಥ_ಥ) พวกเราถึงได้โต๊ะสำหรับสี่คน
เพื่อนๆ น้องๆ ในกลุ่มสั่งข้าวหน้าปลาไหลเหมือนกันเลย
แต่! เราไม่ค่อยชอบกินปลาไหลค่ะ  เคยสั่งทานในไทย ซอสราดหวานมาก เลยไม่ชอบ
ถึงทุกคนจะบอกว่าที่นี้อร่อย รสชาติไม่เหมือนที่ไทยแน่นอน
แต่เราก็ขอเลือกทานเซ็ตปลาดิบแทนค่ะ ของชอบของเรา 5555

4 เซ็ต ของพวกเรา 4 คน
ปลาไหลอันนี้เซ็ตละ 3600เยน   (สั่งแบบธรรมดากัน)
ส่วนปลาดิบของเรา 2900เยนค่ะ


 อันนี้เซ็ตปลาดิบของเราค่ะ  กรี๊ดหนักมาก (ᗒᗨᗕ) จนพนักงานที่ยกมาเสิร์ฟหัวเราะเลย 5555
มันฟินมากจริงๆ เนื้อปลาดิบคือสดใหม่ เด้งสู้ลิ้นเลย ฮือออ ฟินมากเลย
ว่าแล้วก็อยากกินอีกจังเลย (┳Д┳)



และนี่คือข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน  ถ้วยใหญ่บะเริ่มเลย
วิธีกินเค้าบอกว่ามี 4 แบบ
ทุกคนก็ทำตามทั้งสี่แบบไป  ส่วนเราขอกินปลาดิบแบบฟินๆ ก็พอแล้วค่ะ
จะทานแล้วนะคะ~~~~♥

สภาพหลังทานเสร็จ 555555
อิ่มมากจริงๆ อิ่มจนจุกมาถึงลิ้นปี่เลย

แต่อิ่มยังไง ก็ยังมีสั่งกลับบ้านอีก 1 ชุดด้วยนะ

อ้อ! ลืมบอกไปว่าร้านนี้เปิดเป็นรอบๆ ไปนะคะ
รอบแรก 11.00 - 15.30 น.
รอบเย็น 16.30 - 22.00 น.



กินเสร็จแล้วก็ไปเดินย่อยกันค่ะ


สถานที่ต่อไปที่เรากำลังจะไปคือ ศาลเจ้าอัตสึตะ (熱田神宮 อัตสึตะ จิงกู)
ตอนเราไปถึงก็สี่โมงกว่าแล้ว แต่ก็ยังมีคนเดินเข้าไปด้านในอยู่เรื่อยๆ นะคะ





เดินมาถึงแล้วก็ล้างมือ ล้างปากตามธรรมเนียมญี่ปุ่นกันเลย
อยากบอกว่าน้ำใสมาก และเย็นมาก!! อากาศหนาวๆ แทบไม่อยากล้างมือเลย

 (ตอนถ่ายนี้คือแสงไม่มีแล้วนะ นี่ปรับกล้อง ปรับอะไรสุด มันเลยดูสว่างๆ เหมือนกลางวันเลย)

ถังเก็บสาเกค่ะ


ต้นไม้ในเขตศาลเจ้าต้นใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย สวย ชอบ อยากไปเที่ยวอีก






 ซื้อป้ายเขียนคำขอพรกันก่อนค่ะ เดี๋ยวจะวนกลับมาซื้อเครื่องราง






 เครื่องรางที่นี่ ชิ้นละ 1000เยน เท่ากันทุกชิ้นเลยค่ะ (ประมาณ 300บาทไทย)
เราได้เครื่องรางโชคดี การเงิน แล้วก็ผ่อนคลายจิตใจ (อันหลังนี่เข้าใจผิดเลยหยิบผิดค่ะ555)
 ต่อไปเราก็ไปขอพรกัน แต่เนื่องจากเค้าปิดปรับปรุงอยู่ ก็เลยไม่ได้เข้าไปใกล้ๆ ได้แต่ยืนขอพรอยู่ด้านนอก  มีคนญี่ปุ่นยืนขอพรกันหลายคน  ตั้งอกตั้งใจขอกันมากเลย
เราก็เอาด้วย โยนเหรียญห้าโยนไป ปรบมือสองที แล้วขอพรเลยค่ะ
 ไม่แน่ใจว่าต้นซากุระหรือเปล่า เพราะบานอยู่ต้นเดียว 5555  ดอกเล็กๆ จิ๋วๆ น่ารักดี
แต่ไปถ่ายตอนกลางคืนแล้ว กล้องเริ่มไม่โฟกัสละ จะถ่ายข้างหน้าดันไปโฟกัสด้านหลังแทน

 เจอไก่ญี่ปุ่นด้วย ท่าทางเชื่องๆ เรียกกุ๊กๆ ก็เดินเข้ามาหานะ
แล้วไม่ได้มีแค่คนไทยอย่างเราที่ตื่นเต้นกับไก่ คนญี่ปุ่นก็เดินมาเล่นกับน้องด้วย งืออ น่ารักอ่ะ


ระหว่างที่ผู้นำทีมเรากำลังเลือกเส้นทางไปสถานที่ต่อไป
เราก็เหลือบไปเจอตู้กดน้ำพอดี
ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย รู้สึกว่าตัวเองดื่มน้ำไปน้อยมากๆ
เลยอยากได้น้ำเปล่ามาดื่มสักหน่อย แต่... แต่อีกแล้วค่ะ
มันมีโคคา-โคล่า ขวดพิเศษของนาโกย่าอยู่ด้วย
นี่ก็อยากได้อีกแล้วสิ  กดมา 150เยนเบาๆ  ขวดงี้เย็นเจี๊ยบเลย

 เห็นมีกระเป๋าเหลืองๆ นั่นด้วย อยากได้ด้วย แต่ไม่รู้ว่าเค้าวางโชว์เฉยๆ หรือยังไง 55555

ภาพหมู่หลังออกจากศาลเจ้า มันก็จะมืดๆ หน่อยนะ

สถานีต่อไปของเรา
Nagoya Parco
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เราไม่รู้ว่าโทโฮคาเฟ่จะอยู่ที่นี่
และพวกเราก็ไม่คาดหวังว่าจะได้เข้าคาเฟ่หรอก เพราะรู้ว่าคิวยาว คิวเต็ม
แต่ตอนเดินเข้าประตู สายตาเหลือไปเห็นแผนที่ของห้าง และมีคาเฟ่อยู่ที่ชั้น 8
ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย พวกเราตกลงกันได้ในทันทีว่า ไป!
 ไปเจอในลิฟต์ด้วย กรี๊ดกรี๊าดกันจนคนเขาหัวเราะอีกแล้ว 55555



ในที่สุดเราก็หากันจนเจอ (ಥ﹏ಥ) แต่คิวเต็มค่ะ เข้าไม่ได้ ฮือออ
เลยหมุนกาชาปอง แต่ไม่สะใจค่ะ ไม่มีเหรียญ เราเลยไปหาที่แลกเหรียญกันก่อน
(มีตู้แลกเหรียญด้านข้างกาชาปองค่ะ แต่มันเสีย)
พวกเราไปส่งคุณหมอซื้อของที่ทาวเวอร์เรคคอร์ดก่อน
แล้วค่อยไปยังโซนอนิเมท  ถึงที่นั่นก็กรี๊ดอีกละ ถูกใจสายโอตาขุแบบเราๆ
แต่น่าเสียดายที่การ์ตูนที่เราชอบ (นัตสึเมะยูจินโชว์) มีของน้อยมากๆ
แถมไม่ติดราคาอีกด้วย  เราเลยหมุนกาชาปองไปแค่นิดหน่อย
ได้มาเป็นที่คั่นหนังสือรูปเซ็นเซย์ 2ชิ้น หนุ่มจืดกับเพื่อนสนิทกันของนัตจังเท่านั้นเอง


เราแลกเหรียญได้แล้ว ก็วนกลับไปที่คาเฟ่อีกรอบหนึ่ง
หมุนกาชาปองคนละห้าลูก สิบลูกก็ว่าไป
ลูกละ 300เยน  หมดไปกันเท่าไหร่ ก็.... อย่านับเลยเนาะ ช้ำใจเปล่าๆ 55555

อ่ะ! ไหนๆ ก็ไม่ได้กินข้าวที่คาเฟ่แล้ว พวกเราก็ไปหาอะไรทานกันเถอะ
ซึ่งร้านต่อไป ก็คือ ซูซิสายพาน ร้านที่มีคนแนะนำกันเยอะไม่น้อย
ร้าน Nigiri No Tokube ที่ห้าง Oasis 21 

ด้านหน้าร้านค่ะ
เข้าไปด้านใน ก็แจ้งกับเค้าว่ามากันสี่คน เค้าก็เลยพาไปนั่งด้านในที่เป็นโต๊ะใหญ่
มาถึงตอนนี้ ข้าวหน้าปลาไหล / ปลาดิบที่กินเมื่อตอนบ่ายก็ย่อยไปหมดแล้ว
หยิบจานกันเพลินเลยค่ะ ԅ(♡﹃♡ԅ) เวลาหิวๆ กินอะไรก็ฟินไปหมดละ
นอกจากซูซิบนสายพานแล้ว ก็มีเมนูที่สั่งพิเศษเพิ่มได้อีก
เราแค่กดเลือกเอาจากแท็บเล็ตที่อยู่บนโต๊ะนั่นแหละ
จานนี้อร่อยค่ะ แต่ราคา 480เยน ... ԅ(¯﹃¯ԅ)

ที่ชอบที่สุดในร้าน นอกจากความสดของวัตถุดิบแล้วก็คือ...
นี่ค่ะ... ขิงดอง  ( ̄ε ̄@)
ตั้งแต่มาถึงญี่ปุ่น เครื่องเคียงของดองที่ได้ทานมา
ขิงดองที่นี่อร่อยสุดแล้วค่ะ เติมได้ไม่อั้นด้วย
พวกเราสี่คนกินไปเกือบครึ่งกล่องได้  สักพักคุณป้าก็มาเติมให้อีก
ฟินสุดๆ ไปเลย กินแบบไม่อั้นจริงๆ

กินเพลินมาก.. สี่คน 23 จานเบาๆ 
อิ่มมากเลยนะ เหมือนจะน้อยใช่มะ
แต่คืออิ่มข้าวมาก ชิ้นใหญ่ด้วย ซูซิ 1ชิ้น กินได้ 2คำเลยด้วยซ้ำ
( ⁰д⁰) นี่ค่ะ... ค่าเสียหายโดยประมาณการทั้งหมด... 

และไฮท์ไลท์ของร้านนี้ยังมีอีกอย่างหนึ่งค่ะ
เป็นคุณป้าพนักงานท่านหนึ่ง ที่จะมาดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี
พอรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทย นอกจากจะพูดทักทายเป็นภาษาไทยแล้ว
คุณป้ายังโชว์สกิลเทพด้วยการ ท่องชื่อเต็มของกรุงเทพ ให้พวกเราฟังด้วยค่ะ
เล่นเอาอึ้งไปเลย 5555 ขนาดคนไทยอย่างเรายังท่องไม่ได้เลยเด้อออ  ประทับใจ (´⌣`ʃƪ)
มีช่วงนึงที่เราถามคุณป้าว่าทำไมถึงพูดไทยเก่งจังเลย
คุณป้าบอกว่า ก็คนไทยมากินที่นี่ทุกวันเลย ฮาาาาาาา (⊙ꇴ⊙)



ออกจากร้าน เดินมาอีกนิดนึง พวกเราเจอ Jump shop ข่าาาาา
ได้เวลาเสียเงินอีกแล้ว พากันปรี่เข้าไปในร้านแบบรวดเร็วเลย 5555
แต่เดินๆ วนๆ ได้แป๊บเดียว พนักงานบอกว่าร้านกำลังจะปิดแล้วค่ะ
เรากับคุณหมอไม่ได้ของติดไม้ติดมือมาเลย (ไม่เจอที่ถูกใจ)
แต่น้องๆ ได้มาคนละชิ้นสองชิ้น.. ก็ล้มละลายกันไปยาวๆ
แต่ของด้านในคือน่ารักมากจริงๆ อยากดั๊ยๆๆๆ
ช็อปเปอร์!!!  น่ารักมาก เหลือตัวสุดท้ายด้วย แต่ราคาแรงไปนิด T^T

หัวสับปะรดๆๆๆ >///<  คนนี้ก็อยากได้เด่ออออ


อยากเล่นตู้นี้ แต่เค้าจะปิดร้านแล้วอ่ะ   T__T








อยากได้หมดเลย ฮือออออ ༼♥ل͜♥༽

ซื้อของเสร็จ เราก็กลับที่พักกันค่ะ
แต่แอบแวะสตาร์บัคที่อยู่ใกล้ๆ ที่พักเรานิดนึง
เพื่อนๆ จะไปซื้อแก้วนาโกย่าที่นั่น เลยถือโอกาสชิมเมนูพิเศษของที่นั่นซะเลย


และ... อีกแล้วค่ะ คนอื่นๆ เขาสั่งแบบเดียวกันหมด อิฉันคนเดียวสั่งแปลกแยกมาอีกแล้ว เหอะๆ
ชาเขียวปั่นอร่อยดีค่ะ ชอบ  แต่ตอนนั้นเราสั่ง Pink Medley มา เพราะเห็นมันมีพีชๆ (สาวกพืชเด่อออ)
ออกหวานๆ หอมกลิ่นผลไม้ดีค่ะ  กินตอนอากาศหนาวๆ นี่ช่วยได้มากเลย
แต่พอมันเย็นแล้วก็... หวาน  ค่อนไปทางหวานมากด้วย 


นี่ค่ะ... สาขานี้นะ พนักงานน่ารักดี อิ__อิ ทั้ง ช ทั้ง ญ เลย


หลังจากนี้คือ เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปแล้วค่ะ
กลับเข้าที่พักกันแล้ว
แล้วคืนนั้นพวกเราไม่นอนกันค่ะ กลัวตื่นไม่ทัน เพราะบินกลับไฟลท์เช้า
ต้องออกตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เลยนั่งคุย นอนคุยกันเบาๆ ไปจนเช้า
ไม่อยากกลับบ้านกันเลยละ
ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความสะอาดของบ้านเมืองเค้ามาก
ติดใจ อยากอยู่ต่อ (ღ˘⌣˘ღ) ไม่กลับแล้ว อยู่ต่อเลยได้มั้ย~~



NAGOYA~  ถ้ามีโอกาส เราจะกลับไปอีกนะ
ครั้งหน้าจะเที่ยวให้ทั่วเลย ٩(θ‿θ)۶